ปัจจุบันผู้คนจำนวนมากที่เสพติดการศัลยกรรม หรือมีภาวะทางจิต เพราะไม่พอใจกับหน้าตาหรือหน้าตาของตน และถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ของตนไม่ได้มีอะไรผิดปกติใด ๆ แต่ก็ยังไม่พอใจ คิดว่าหน้าไม่สวย จมูกเบี้ยวไป หรือจิตตกคิดว่าตัวเองอ้วนเกินไป คิดซ้ำไปซ้ำมา จนกลายเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจรวมถึงการปฏิสัมพันธุ์กับคนรอบข้าง ใครที่กำลังเข้าข่ายอาการเหล่านี้ คุณอาจกำลังป่วยโรค BDD หรือ Body Dysmorphic Disorder  

 

แพทย์และผู้เชี่ยวชาญเผยว่า มีผู้ป่วยโรค Body Dysmorphic Disorder เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้ป่วยเฉลี่ยร้อยละ 34 เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มคนโสดที่มีช่วงอายุระหว่าง 15 – 35 ปี และอาการของโรคเริ่มพบได้ตั้งแต่วัยเด็กโตที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อายุ 13 – 15 ปี เป็นต้นไป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ไลฟ์สไตล์หนุนนำด้วยสื่อเทคโนโลยี สามารถเข้าถึงได้ง่าย และค่านิยมการโอ้อวดชีวิตตนเองบนสื่อแทบทุกแพลตฟอร์ม 

โรค Body Dysmorphic Disorder เป็นอย่างไร 

โรค BBD คือ โรคไม่ชอบรูปร่างหน้าตาตัวเองมากเกินปกติ ให้ความสนใจหน้าตาและรูปร่างของตัวเองมากเกินไป ส่องกระจกแทบตลอดเวลา แบบอาการย้ำคิดย้ำทำ ถามคนอื่นซ้ำ ๆ ถึงรูปลักษณ์ภายนอกของตนเป็นอย่างไร กลัวตัวเองสวย ไม่หล่อ กังวลและใส่ใจคำพูดคนอื่นถึงรูปร่างหน้าตาของตัวเอง คอยเปรียบเทียบกับผู้อื่น และอยากเปลี่ยนแปลงหน้าตารูปร่างอยู่ตลอดเวลา มีความคิดวนเวียนแต่อยากทำศัลยกรรม แม้ว่าทำแล้วก็ยังรู้สึกไม่พอ จนบางคนเสพติดการศัลยกรรม หรือคนที่มีเงินไม่พอก็คิดแต่อยากทำ จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือบางคนทุ่มเทกับการเสียเงิน เสียเวลาในการดูแลตัวเองมากเกินไป แต่ถ้าอาการห่วงภาพลักษณ์ตนเอง ส่องกระจก ดูแลตัวเองปกติ หรือการเสริมสวยเติมหล่อ อัพนิด เสริมหน่อย ผ่าบ้าง ทำแล้วพึงพอใจ และไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อการดำเนินชีวิตของตนเอง ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ถือว่าเป็นเพียงแค่ความชอบส่วนบุคคลเท่านั้น ไม่ได้เข้าข่ายเป็นผู้ป่วยโรค BBD

สังเกตอย่างไรว่ามีภาวะโรค BBD 

การสังเกตว่าเข้าข่ายของภาวะโรค BBD หรือไม่ ดูได้จากความถี่ของพฤติกรรมและอาการที่แสดงออก คอยสังเกตหน้าตา รูปร่างตัวเองบ่อยมากแค่ไหน ส่องกระจกแทบตลอดเวลา หรือมีความกังวลเกี่ยวกับหน้าตาและหุ่นตัวเองมาก คิดวนเวียนจนกระทบต่อการเรียน การงาน หรือกระทบต่อสุขภาพ เกิดความเครียด ไม่ค่อยกินอาหารเพราะกลัวอ้วน ไม่อยากเข้าสังคมหรือไม่อยากเจอผู้คนเพราะคิดว่าตัวเองขี้เหร่ และกังวลว่าคนอื่นจะวิจารณ์หน้าตาหรือหุ่นตัวเอง หรือใช้จ่ายเกินกำลังไปกับการศัลยกรรม คอร์สดูแลตัวเอง หรือเครื่องเวชสำอางแพง ๆ 

 

ปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดโรค BBD หรือ โรคไม่มั่นใจในหน้าตาตัวเอง

สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะ Body Dysmorphic Disorder ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ส่วนใหญ่มาจากพื้นฐานจิตใจของผู้ป่วย รู้สึกไม่มีคุณค่าในตนเอง ซึ่งอาจกระทบมาจากค่านิยมในสังคม สิ่งแวดล้อมที่เติบโต หรือความกดดันจากการถูกคาดหวัง รวมไปถึงสื่อสังคมในปัจจุบัน แม้ว่าอาจไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็มีส่วนเสริมการเป็นปัจจัยเกี่ยวข้อง จนกลายเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรค BBD 

 

โรค BBD รักษาได้ไหม 

โรคชอบดูถูกตัวเอง หรือ โรค BBD จัดว่าเป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่ง โดยอาการเบื้องต้นของโรคไม่ชอบหน้าตาตัวเองเกิดจากความวิตกกังวลในรูปลักษณ์ตนเองจนเกิดความเครียด และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต หากได้รับการปรึกษาเพื่อให้จิตแพทย์ทำการประเมินอาการและวินิจฉัยโรค เพื่อใช้แนวทางรักษาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ก็จะช่วยรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคนี้ได้ 

 

วิธีการรักษาโรค BBD 

แนวทางการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะ BBD ในแต่ละเคสจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอาการและการตอบรับของตัวผู้ป่วย โดยแพทย์จะจัดกลุ่มยาคลายกังวลหรือยาต้านเศร้า ควบคู่ไปกับการบำบัดพฤติกรรม ให้คำแนะนำแก่คนรอบข้างในการช่วยฟื้นฟูจิตใจผู้ป่วยเห็นคุณค่าในตัวเอง 

หากไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเข้าข่ายมีภาวะ Body Dysmorphic Disorder หรือ คนใกล้ตัวอาจกำลังป่วยโรคนี้อยู่ อย่าอายที่จะไปปรึกษากับจิตแพทย์ เพื่อจะได้ให้แพทย์ทำการประเมิน วินิจฉัย และรักษาได้ทันท่วงที เพราะผู้ป่วยที่ไม่ได้รับรักษา อาการอาจลุกลามจนกลายเป็นโรคซึมเศร้ารุนแรง อยากทำร้ายตัวเอง หรือนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ ดังตัวอย่างคนดัง ๆ ที่เรามักจะได้ยินข่าวกันบ่อย ๆ อาทิ ศิลปินระดับโลก ฉะนั้น หากไม่สบายใจหรือรู้ตัวว่าตนเองเข้าข่ายโรค BBD รีบไปพบแพทย์ดีที่สุด ลดโอกาสการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ไมเคิล แจ็คสัน (Michael Jackson) หรือแฟนเพลงหลาย ๆ คนมักจะเรียกย่อ ๆ ว่า MJ ผู้ที่ได้รับสมญานาม The King of Pop ราชาเพลงป๊อบ นักร้องผิวสีขวัญใจคนทั่วโลก ก่อนที่จะเป็นตำนานและกลายเป็นตัวตลกของคนบางกลุ่ม 

 

จำได้ว่าไมเคิล แจ็คสัน มาไทยตอนที่คนเขียนยังเป็นเด็กนักเรียนตัวน้อย ๆ ได้มีโอกาสร่วมเวทีกับบทเพลง Heal the World ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต แต่กลับเป็นความรู้สึกประทับใจและไม่เคยลืมมาจวบจนเข้าวัยกลางคน และนั่นทำให้ MJ เป็นศิลปินป๊อบสากลคนแรกที่ชื่นชมและไม่เคยเปลี่ยนข้าง แม้ว่าจะมีข่าวเสีย ๆ หาย ๆ เกี่ยวกับเขามากมาย วันนี้จึงจะขอกล่าวถึงอดีตราชาเพลงป๊อบ ตำนานที่ใครก็กลบไม่ได้ 

ไมเคิล แจ็คสัน ประวัติที่น่าเศร้า 

ไมเคิล มีชื่อเต็มว่า ไมเคิล โจเซฟ แจ็คสัน (Michael Joseph Jackson) เรียกย่อ ๆ ว่า MJ หรือ Jacko (แจ็คโก้) เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1958 ที่อินเดียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเป็นบุตรชายของ โจเซฟ และ แคทเธอรีน โดย MJ เป็นลูกคนที่ 7 ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 9 คน

 

ไมเคิล และพี่น้องของเขาเริ่มทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย อีกทั้งยังมีปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยไมเคิลมักจะถูก Joe Jackson หรือ โจเซฟ พ่อของเขาทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงเป็นประจำ เป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจของเขา จนทำให้ไมเคิลเกิดภาวะทางจิตที่เรียกว่า โรค BDD หรือ Body Dysmorphic Disorder คือ โรคคิดหมกมุ่น เป็นภาวะทางจิตที่ผู้ป่วยกังวลกับรูปลักษณ์ของตนเองมากเกินไป อาจคิดว่าตนเองมีหน้าตาหรือรูปร่างที่น่าเกลียด อ้วนเกินไป ดำเกินไป ฯลฯ จนไม่สามารถยอมรับตัวตนในปัจจุบันได้ จนทำให้เกิดความทุกข์ เครียด วิตกกังวล คิดวนซ้ำซาก จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และอาจทำให้มีข้อจำกัดต่าง ๆ ในสังคม รวมถึงความสัมพันธ์กับคนอื่นด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ทำให้ไมเคิลมีภาวะซึมเศร้าตั้งแต่เด็ก แอบร้องไห้คนเดียวบ่อย ๆ ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จิตใจเปราะบาง อ่อนไหวง่าย เพียงแค่เขามีสิวขึ้นตอนช่วงเข้าสู่วัยรุ่น MJ ก็ร้องไห้และมีอาการจิตตกอย่างรุนแรง 

ไมเคิล แจ็คสัน ผู้เขย่าวงการเพลงให้สั่นสะเทือน ด้วยยอดขายอัลบัมสูงที่สุดในประวัติการณ์ 

MJ ได้เป็นนักร้องนำวง The Jackson 5 ในขณะที่มีอายุเพียง 7 ปีเท่านั้น และเมื่อไมเคิล แจ็คสัน อายุ 11 ปี เขาก็ได้ออกอัลบั้ม “Got to be There” เป็นอัลบัมเดี่ยวชิ้นแรก แต่กลับเป็นปรากฏการณ์ สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการเพลงเป็นอย่างมาก เพราะเพลงของไมเคิลสามารถไต่ทะยานขึ้นชาร์ตสู่อันดับ 1 ได้สำเร็จถึง 3 เพลงด้วยกัน ก่อนที่จะตามมาด้วยผลงานชุด “Off the Wall” ที่ทำยอดขายได้มากกว่า 20 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก ตามมาด้วยอัลบัม “Thriller” ในปี พ.ศ.2525 ทุบสถิติของวงการเพลง ด้วยยอดจำหน่ายสูงถึง 60 ล้านชุด นับว่าเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงที่สุดในประวัติการณ์ และต่อมา ไมเคิลได้ออกอัลบัม “Bad” ในปี พ.ศ.2530 สร้างสถิติอัลบัมที่มีซิงเกิลขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในบิลบอร์ดมากที่สุด 

ไมเคิล แจ็คสัน ศัลยกรรมที่ไม่ต้องการ 

ไมเคิล แจ็คสัน เป็นบุคคลที่มีความอัจริยะทางด้านดนตรีสูง แถมยังมี Stage Performance เป็นเลิศ จนแฟนเพลงทั่วโลกยกให้เขาเป็น The King of Pop ผู้คนต่างชื่นชมและชื่นชอบในผลงานของเขา โดยเฉพาะความสามารถอันโดดเด่น ที่เป็นท่าเต้นประจำตัวของ ไมเคิล แจ็คสัน คือ ท่าลูบเป้า และ Moon Walk ท่า backslide เอกลักษณ์ของ MJ ราชาเพลงป๊อบ และอีกสิ่งที่กลายเป็นสิ่งทำให้เขาสะดุดตาและจดจำของแฟนเพลงมากขึ้น คือ ผิวขาวซีดจนแทบเป็นสีเผือก จมูกแหลม แก้มตอบ คางบุ๋ม ที่ต่างไปจากภาพอดีตนักร้องผิวสี กลายเป็นหนุ่มหน้าหวาน ที่มีสัดส่วนผิดรูปทรง ไม่สมดุล จนทำให้หลายคนเข้าใจเขาผิด กล่าวหาว่าเขาไม่ยอมรับในความเป็นคนผิวสีของตน เป็นเหตุให้ ไมเคิล แจ็คสัน ศัลยกรรม เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ จนรูปหน้าและสีผิวเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม 

 

หลังอัลบัม Thriller ในช่วงปี 1982 ที่สีผิวและอวัยวะบนใบหน้าของไมเคิลเริ่มมีการเปลี่ยนไป และเริ่มชัดเจนมากขึ้นตอนที่ออกอัลบัม Bad ในปี 1987 ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เคยชื่นชมในตัวไมเคิล แจ็คสัน กลับมาโจมตีเขาด้วยคำครหา คำดูถูก ล้อเลียน และสารพัดเท่าที่จะสรรหาคำพูดมาเย้ยหยันเขาได้ ผลักดันให้เขากลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนทั่วโลก แม้ว่า MJ จะปฏิเสธข้อกล่าวหา และยืนยันว่าเขาภาคภูมิใจในเชื้อชาติแอฟริกันของตนเอง แต่เหตุผลที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นหนุ่มผิวเผือก เกิดจากเพราะเขาป่วยด้วยโรคชนิดหนึ่ง แต่มันก็ไม่เป็นเหตุที่เพียงพอสำหรับกลุ่มคนที่โจมตีเขา จนกระทั่งเขาได้จากโลกนี้ไป และความจริงต่าง ๆ ได้ถูกเปิดเผย แต่มันก็สายเกินไป กับความโหดร้ายที่เขาได้รับอย่างไม่เป็นธรรม

ไมเคิล แจ็คสัน เป็นโรคอะไร 

สาเหตุของการศัลยกรรม จนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของ ไมเคิล แจ็คสัน ป่วยด้วยโรคผิวหนัง เรียกว่า Vitiligo คือ โรคด่างขาว ซึ่งเขาป่วยและมีภาวะดังกล่าวตั้งแต่เริ่มมีอายุ 20 ปี ร่วมกับการมีภาวะ SLE (Lupus) เกิดจากระบบภูมิคุ้มร่างกายทำงานผิดปกติ จนส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของผิวหนัง ไวต่อแสงแดด จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมไมเคิลมักจะต้องกางร่ม สวมหมวก คลุมใบหน้า และสวมใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกายมิดชิดเสมอเมื่อต้องออกในที่แจ้งหรือมีแสงแดด จนทำให้มีข่าวลือผิดเพี้ยนว่า ไมเคิล แจ็คสัน เป็นแวมไพร์ (Vampire) และคนบางกลุ่มก็ดันหลงเชื่อเสียด้วย 

 

โรคด่างขาวคืออะไร และมีสาเหตุจากอะไร 

โรคด่างขาว คือ โรคที่ร่างกายสร้างสารไปทำลายเซลล์ Melanocyte ที่เป็นเซลล์สร้างเม็ดสี Melanin ตัวที่ทำหน้าที่ในการกำหนดสีผิว สีผม และสีดวงตา และเมื่อเซลล์ Melanocyte ถูกทำลาย ทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ เป็นรอยด่างขาว สลับสีผิวดั้งเดิม 

 

สาเหตุของโรคด่างขาว เกิดจากกรรมพันธุ์ และโรคแพ้ภูมิบางอย่าง เช่น โรค SLE (ภูมิคุ้มกันบกพร่อง) โรคไทรอยด์ โรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง โรคหนังแข็ง เป็นต้น ส่วนกรณีโรคด่างขาว ไมเคิล เกิดร่วมกับโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง จนทำให้สีผิวของเขามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องเข้าสู่การทำศัลยกรรมโดยที่เขาไม่ได้ต้องการแต่แรก 

 

สาเหตุที่ทำให้ ไมเคิล แจ็คสัน เสียชีวิตเพราะอะไร 

ไมเคิล แจ็คสัน เสียชีวิตในวันที่ 25 มิถุนายน ปี 2009 ในวัย 50 ปี ด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งจากผลชันสูตรพบว่า ไมเคิล แจ็คสัน เสียเพราะร่างกายได้รับยานอนหลับชนิด Propofol ยาฉีด มากเกินขนาด และได้มีการเปิดเผยเบื้องหลังชีวิตของราชาเพลงป๊อบ Michael Jackson หลังเสียชีวิต เริ่มจากที่มีผลชันสูตรยืนยันว่า ไมเคิล มีภาวะโรคด่างขาวจริง อีกทั้งเขายังมีภาวะการติดยาแก้ปวดอย่างรุนแรง เนื่องจากเขาเคยประสบอุบัติเหตุจากการถ่ายโฆษณา Pepsi ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะที่เกิดจากแผลไฟไหม้ระดับ 3 จากความผิดพลาดของระบบไฟฟ้าทำให้เขาต้องพึ่งยาระงับประสาท และยาแก้ปวดชนิดรุนแรง จนเสพติดยาแก้ปวดในที่สุด และช่วงที่เขาเริ่มมีโปรเจค We are the World ไมเคิล ก็ต้องเผชิญกับภาวะการนอนไม่หลับ (Insomnia Disorder) และรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่วมกับภาวะซึมเศร้า จนเขาต้องพึ่งยาแก้ปวดแทบตลอดเวลา และเสพติดจนถอนตัวไม่ขึ้น 

 

เบื้องหน้าของ Michael Jackson คือ ราชาเพลงป๊อบ ผู้มีชื่อเสียงระดับโลก แต่เบื้องหลังและปมชีวิตของเขากลับเลวร้ายกว่าที่ใครจะคาดคิด สิ่งที่เขาต้องการสูงสุดในขณะที่ชีวิตกำลังก้าวสู่ความสำเร็จรุ่งโรจน์ หรือแม้แต่ช่วงที่ตกดิ่งลงเหว คือ การนอนหลับ แต่อนิจจา … เขาไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง จนกระทั่ง ไมเคิลก้าวสู่วัยที่ 50 ขวบปี ก็สามารถทำได้สำเร็จด้วยการนอนหลับไปตลอดกาล จากยาแก้ปวดที่เขาต้องพึ่งมันมาเกือบตลอดชีวิต น่าเศร้าที่ฉากหน้าเขาเป็นศิลปินระดับโลก แต่ชีวิตจริงเขากลับไม่มีใครคอยช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำ ในขณะที่เขาคอยมอบความสุข ความรื่นเริงให้กับแฟนเพลง แต่ในวันที่เขาพลาดล้ม และรู้สึกอ่อนแอ กลับมีแต่การเหยียบซ้ำ และรุมเยาะเย้ย กล่าวหาว่าเขาเป็นคนลวงโลก นี่หรือคือสิ่งตอบแทนที่ ไมเคิล แจ็คสัน ควรได้รับ 

 

ไมเคิล แจ็คสัน The King of Pop ตลอดกาล 

ไมเคิล แจ็คสัน ได้จากโลกนี้ไปพร้อมกับหัวใจที่บอบช้ำและแตกสลาย จากความโหดร้ายของผู้คนที่เคยคลั่งไคล้เขา กลายเป็นความเกลียดชังและกล่าวร้ายป้ายสี ตลอดชีวิตของเขา ไม่เคยได้มีโอกาสใช้ชีวิตแบบคนมีความสุขจริง ๆ เลยสักครั้ง เด็กน้อยอัจริยะเจ้าของบทเพลงดังที่ยังคงเป็นตำนาน นับไม่ถ้วน และชายผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กหลายคนทั่วโลก (รวมถึงผู้เขียน) ด้วยบทเพลง “Heal the World” แม้ว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในด้านการได้รับความเข้าใจจากผู้คน แต่สิ่งหนึ่งที่เขาทำสำเร็จในที่สุด คือ ได้นอนหลับ เสียที ต่อไปนี้ MJ ไม่ต้องถูกกดดัน ไม่ต้องแบกรับกับความอยุติธรรม ที่เขาไม่สมควรถูกกระทำอีกต่อไป ขอไว้อาลัยให้กับ Michael Jackson ผู้เป็น The King of Pop ตลอดกาล 

กิจวัตร 10 อย่าง มีบัญญัตไว้ในพระไตรปิฎก เป็นกิจวัตรพระบวชใหม่ ใช้เป็นบทฝึกภิกษุสงฆ์ในชีวิตประจำวัน โดยมีจุดมุ่งหมายในการสร้างนิสัย 4 ของสมณะแทนนิสัยฆราวาส

กิจวัตร 10 ประการ คือ ข้อปฏิบัติที่พึงทำให้เป็นนิสัย เพื่อเป็นเกราะป้องกันตนไม่ให้เกิดความเสียหายขณะฝึกฝนให้เป็นสมณะและบรรลุธรรม ซึ่งมาจาก 2 คำรวมกัน คือ “กิจ” และ “วัตร”

กิจ หมายถึง สิ่งที่พึงกระทำ สิ่งที่ต้องทำ
วัตร หมายถึง ข้อปฏิบัติที่ควรทำให้เป็นนิสัย

10 กิจวัตรของสงฆ์มีอะไรบ้าง

1. ลงอุโบสถ
2. บิณฑบาตเลี้ยงชีพ
3. ทำวัตร สวดมนต์ เจริญภาวนา
4. กวาดวิหาร ลานพระเจดีย์
5. รักษาผ้าครอง
6. อยู่ปริวาสกรรม
7. โกนผม ปลงหนวด ตัดเล็บ
8. ศึกษาสิกขาบท และ อุปัชถากอุปัชฌาย์อาจารย์
9. เทศนาบัติ คือ ปลงอาบัติ แสดงอาบัติ
10. พิจารณาปัจจเวกขณะทั้ง 4

อานิสงส์และประโยชน์ของกิจวัตร 10 อย่าง

ประโยชน์ของการลงอุโบสถ

ส่งเสริมพระวินัย
สร้างความสามัคคี
มีความบริสุทธิ์
มุกตกนิสัย คือ พ้นนิสัย
เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คน
เป็นตัวอย่างที่ดีให้ถือปฏิบัติตาม

ประโยชน์ในการบิณฑบาต

เจริญรอยตามพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้า
ได้บริหารร่างกาย
ได้ระลึกถึงพระคุณของมารดา
เห็นทุกข์จากการแสวงหาอาหาร
สงเคราะห์ทานกุศล
เป็นเนื้อนาบุญดำรงตนให้ดียิ่งขึ้น

ประโยชน์ของการทำวัตร สวดมนต์ เจริญภาวนา

ได้เฝ้าพระพุทธเจ้า
เข้าใจศาสนพิธี
มีจิตเป็นกุศล
ทำตนให้กล้าหาญ
เป็นที่เคารพศรัทธา
รักษาพระสัทธรรม

ประโยชน์ของการกวาดวิหาร ลานเจดีย์

บริหารร่างกาย
บริเวณสถานที่สะอาด
ปราศจากโรคภัย
คลายเครียด
ขจัดความเกียจคร้าน
คงไว้ซึ่งศรัทธา

ประโยชน์แก่การรักษาผ้าครอง

ทำให้ตื่นเช้า
เอาใจใส่ในกิจวัตร
ฝึกจิตใจ
มีสุขภาพดี
มีความจำดีเยี่ยม
เตรียมตารางชีวิต

ประโยชน์ในการอยู่ปริวาส

ได้ปฏิบัติตามกิจวัตร
ได้กำจัดอาบัติโทษ
ได้โปรดญาติโยม
ได้ข่มมานะ ละทิฐิ
ได้ปิติปราโมทย์
ได้เผยแผ่ศาสนาพระพุทธศาสนา

ประโยชน์ของการโกนผม ปลงหนวด ตัดเล็บ

ประหยัดเครื่องใช้
ขจัดความสกปรก
ย่อย่องธรรมเนียมภิกษุ

ประโยชน์ของการศึกษาสิกขาบทและอุปัชถากอุปัชฌาย์อาจารย์

เข้าใจหลักของตน
พ้นจากความสงสัย
ป้องกันภัยจากอาบัติ
รู้คุณ กตัญญู
มีเคารพครูอาจาย์

ประโยชน์ของการแสดงเทศนาบัติ

เป็นผู้ไม่ประมาท
ปราศจากมลทิน
มีศีลบริสุทธิ์
หยุดความวิปฏิสาร
แสดงอาบัติ (ครุกาบัติ)

ประโยชน์ของการพิจาณาปัจจเวกขณะ

ไม่เป็นหนี้ชาวบ้าน
ฉันอาหารไม่มีโทษ
เป็นประโยชน์แก่กรรมฐาน

ผู้คนในสังคมปัจจุบัน มีแนวโน้มป่วยเป็นโรคจิตเวชกันได้ง่ายและเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่รู้ตัวว่าตนเองป่วย ซึ่งสาเหตุของการป่วยโรคจิตเวชเหล่านี้ มักมีหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม สังคม และประสบการณ์ในชีวิต รวมถึงสารเคมีในร่างกายที่ผิดปกติ และส่วนมากเรามักจะคุ้นเคยหรือได้ยินกับโรคจิตเวชประเภท โรคซึมเศร้า หรือ ไบโพลาร์ แต่ยังมีอีก 5 โรคทางจิตเวชแปลก ๆ ที่หลายคนอาจไม่เคยได้ยิน หรือไม่คิดว่าจะมีโรคแบบนี้อยู่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ป่วยหลายรายไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังป่วยด้วยโรคเหล่านี้อยู่ จะมีโรคอะไรบ้าง ลองมาดูกันหน่อยดีกว่า เรากำลังมีอาการเหล่านี้อยู่บ้างหรือเปล่านะ 

  1. โรค PTSD (Post – Traumatic Stress Disorder) 

โรค PTSD หรือ โรคเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางจิตใจ ซึ่งเกิดหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์น่ากลัว หรือมีความอันตรายแก่ชีวิต โดยเหตุการณ์เหล่านั้นยังฝังใจ ทำให้มีอาการของโรค PTSD คือ รู้สึกเหมือนเหตุการณ์ดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นซ้ำ ๆ มีความเครียด ตื่นตระหนก หวาดผวา หรือฝันร้ายถึงเหตุการณ์นั้นอยู่บ่อย ๆ จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและจิตใจ บางรายอาจพยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปยังสถานที่ ๆ เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือไม่พูดถึง และอาจมีอารมณ์ที่ไม่คงที่ ซึ่งค่อนข้างเป็นไปในทางลบ จนทำให้มีอาการหวาดวิตก ตื่นตระหนกตกใจง่ายกว่าปกติ นอนหลับยาก และอาจมีอาการหรือโรคร่วมอื่น ๆ เช่น หันไปพึ่งแอลกอฮอล์จนติดการดื่มเหล้า หรือมีอาการโรคซีมเศร้า เป็นต้น สำหรับผู้ที่มีอาการยังไม่มาก หรือรู้ตัวว่าป่วยโรค PTSD  เร็ว และเข้ารับการรักษา ทำการบำบัดกับนักจิตวิทยาได้เร็ว ก็จะช่วยควบคุมอาการได้ดี และรักษาให้หายได้ 

  1. โรคความผิดปกติในการใช้สาร 

โรคความผิดปกติในการใช้สาร ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Substance – Used Disorder คือ โรคที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองจากการใช้สารใดสารหนึ่งได้ แม้จะรู้ถึงโทษของการใช้สารนั้นก็ตาม และอาจมีการพยายามเลิกในการใช้สารนั้น ๆ แต่สุดท้ายก็หาสารมาใช้ และอาจใช้มากขึ้นกว่าเดิม จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวัน และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ โดยผู้ใช้สารส่วนใหญ่มักจะมีอาการ หรือภาวะทางจิตอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า หรือ PTSD ซึ่งมีความเครียด วิตกกังวลจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เป็นต้น ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว แต่สามารถกลับไปเป็นซ้ำได้อีก ดังนั้น การให้กำลังใจ และคำชื่มชมจากผู้คนรอบข้างในขณะที่ทำการรักษา จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาสำหรับผู้ป่วยโรคนี้

  1. โรคสมาธิสั้น 

โรคสมาธิสั้น หรือ ADHD  (Attention – Deficit Hyperactivity Disorder) คือ ภาวะการทำงานของสมองบกพร่อง โดยมักจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม หากคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ เด็กที่เกิดมาก็จะมีโอกาสของการเป็นโรคสมาธิสั้นได้มากกว่าครอบครัวทั่วไป 4 – 5 เท่า นอกจากนี้ สาเหตุอาจเกิดจากปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ได้ด้วยเช่นกัน เช่น มารดาสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น การรักษาผู้ป่วยสมาธิสั้น จะใช้ยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นสมองเพื่อทำให้มีสมาธิและนิ่งมากขึ้น 

  1. โรคความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง 

โรคความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง หรือที่เรียกว่า Borderline Personality Disorder คือ ผู้ที่มีภาวะอารมณ์ไม่คงที่ กลัวการถูกทิ้ง กลัวตัวเองไม่มีค่า มีอารมณ์รุนแรง ควบคุมตนเองไม่ได้ ไม่สามารถอยู่ในความสัมพันธ์กับใครได้นาน ชอบทำร้ายตนเอง หรือมีความคิดฆ่าตัวตาย เพราะรู้สึกว่างเปล่า และไม่มีความหมายที่จะอยู่ต่อ ซึ่งมักจะพบผู้ป่วยโรคจิตเวชประเภทนี้ในวัยรุ่นมากกว่าวัยอื่น เนื่องจากเป็นวัยที่ต้องการความยอมรับจากผู้คนรอบข้าง ต้องการมีตัวตน จึงเป็นวัยที่รู้สึกอ่อนไหวต่อสิ่งเร้าจากแวดล้อมได้ง่ายนั่นเอง 

  1. โรคพฤติกรรมการกินผิดปกติ

โรคการกินผิดปกติ เรียกอีกอย่างว่า Eating Disorder คือ ผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมการกินที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ โดยในผู้ป่วยบางรายเกิดจากการกังวลในเรื่องของน้ำหนักตัว กลัวอ้วน กลัวน้ำหนักขึ้น จนทำให้เลือกทานแต่อาหารไร้ไขมัน อาหารพลังงานต่ำ อาหารที่ไม่มีคุณภาพ หรือการรู้สึกผิดที่ทานอาหารมากแล้วต้องการนำออกด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น การทำให้อาเจียน การโหมออกกำลังกายอย่างหนัก จนอาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะความตึงเครียด ขาดสารอาหารบางชนิด และอาจก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้าร่วมด้วยในผู้ป่วยบางราย ซึ่งการรักษอาจต้องใช้การบำบัดทางจิต ควบคู่ไปกับการทานยา และอยู่ใต้การดูแลจากผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย รวมไปถึงการดูแลด้านโภชนาการ 

 

โรคจิตเวช แม้ว่าจะเป็นความเจ็บป่วยหรือมีภาวะผิดปกติทางจิต แต่สามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ จนขยายไปกระทบต่อการใช้ชีวิต รวมไปถึงความสัมพันธ์กับผู้คน และอาจลุกลามจนกลายเป็นปัญหาความรุนแรงได ้หากไม่ได้รับการรักษาหรือเยียวยาด้วยวิธีที่เหมาะสม ดังนั้น การคอยหมั่นสังเกตความรู้สึกและพฤิตกรรมของตน รวมไปถึงของคนใกล้ชิด จะช่วยให้รู้เท่าทัน และสามารถทำการรักษาได้เร็ว ทำให้มีโอกาสหายเป็นปกติได้อย่างถาวร เพราะเราทุกคนสามารถเป็นโรคทางจิตเวชได้โดยไม่รู้ตัว 

 

หลายคนรู้ว่ากระเทียมมีสรรพคุณทางยามากมาย และได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพออกมาเผยว่าการกินกระเทียมสดดีต่อสุขภาพและช่วยต่อต้านโรค บรรเทาอาการเจ็บป่วยได้หลายโรค ทั้งเชื่อว่ากินกระเทียมลดไขมันในเลือดได้ หรือกินกระเทียมสดลดความอ้วน ลดความดัน และอีกมากมาย แต่ถึงแม้ว่ากระเทียมมีประโยชน์ดีต่อสุขภาพ แต่ถ้ากินกระเทียมมากเกินไปเกิดโทษได้ อีกทั้งผู้ป่วยโรคบางชนิดห้ามกินกระเทียม เพราะอาจกระตุ้นโรคที่เป็นอยู่ให้กำเริบได้ แล้วโรคอะไรบ้างที่ห้ามกินกระเทียม และกินกระเทียมมากเกินไปมีโทษอย่างไร 

สรรพคุณของกระเทียมมีอะไรบ้าง 

ก่อนอื่นเรามาดูสรรพคุณของกระเทียมกันก่อนว่ามีอะไรบ้าง 

  • ขับลม 
  • ขับเหงื่อ
  • ขับเสมหะ
  • ขับปัสสาวะ
  • ขับระดู
  • แก้จุกเสียด 
  • แก้ท้องอืด 
  • แก้อาหารไม่ย่อย
  • แก้หวัด คัดจมูก 
  • กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต 
  • ต้านอนุมูลอิสระ 
  • ต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • ต้านการอักเสบ
  • บำรุงธาตุ 
  • รักษาแผล แก้ปัญหาโรคผิวหนัง 
  • รักษาโรคกลากเกลื้อน 
  • แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย 
  • ลดความดันโลหิต 
  • ลดไขมันในเลือด 

 

โทษของกระเทียมเมื่อกินมากเกินไป 

แม้ว่ากระเทียมจะมีประโยชน์และดีต่อสุขภาพ แต่ถ้ากินกระเทียมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน เนื่องจากสารในกระเทียมจะไปยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด อาจส่งผลให้เกิดภาวะเลือดแข็งตัวช้า ทำให้เลือดไหลไม่หยุดเมื่อเกิดบาดแผล

ใครบ้างที่ต้องระมัดระวังในการกินกระเทียม 

  • ผู้ที่มีอาการแพ้กระเทียม รวมถึงคนที่แพ้สารในกระเทียม 
  • ผู้ป่วยความดันโลหิตต่ำ และผู้ป่วยความดันโลหิตสูง เพราะกระเทียมมีสรรพคุณช่วยลดความดัน หากกินกระเทียมร่วมกับยาลดความดัน หรือกินกระเทียมมากเกินไป อาจยิ่งกระตุ้นให้ความดันต่ำมากกว่าเดิม 
  • ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ ควรระมัดระวังในการกินกระเทียม เพื่อไม่เพิ่มกรดแก๊สในกระเพาะอาหารจากการกินกระเทียมมากเกินไป จนก่อให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร หรือมีอาการแสบท้อง 
  • ผู้มีอาการโรคกรดไหลย้อน เพราะกรดแก๊สในกระเทียมจะกระตุ้นให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกกำเริบได้ 
  • ผู้ป่วยเบาหวาน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ทานยาลดน้ำตาลในเลือด ควรงดการกินยาร่วมกับสารสกัดกระเทียม เพราะจะยิ่งไปลดระดับน้ำตาลให้ต่ำลงมากเกินไป 
  • ผู้ที่เตรียมตัวจะผ่าตัด ควรหยุดกินกระเทียมก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะสารในกระเทียมมีส่วนในการทำให้เลือดแข็งตัวช้า จึงเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดไหลไม่หยุดหลังผ่าตัด 
  • ผู้ที่ใช้ยากลุ่ม NSAIDs บางชนิด เพราะยาในกลุ่มโรคนี้มักมีฤทธิ์ต่อการแข็งตัวของเลือด 
  • ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาวาร์ฟาริน เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด จะยิ่งทำให้เลือดออกมากขึ้น 
  • ผู้ที่มีภาวะตาแดง เพราะฤทธิ์ร้อนของกระเทียม จะยิ่งกระตุ้นให้มีอาการมากขึ้น 
  • หญิงตั้งครรภ์ มารดาให้นมบุตร สามารถกินกระเทียมที่เป็นอาหารได้ แต่ไม่ควรกินสารสกัดจากกระเทียมมากเกินไป เพราะจะส่งผลข้างเคียงต่อเด็กได้  

ภาวะความดันโลหิตสูง คือ การที่หัวใจทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และถ้ามีความเครียดประกอบเข้ามาด้วย จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคไตวาย หรือ ทำให้ตาบอดได้ หากรู้ตัวว่ากำลังมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคเหล่านี้ ควรรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน โดยเน้นกินผัก ผลไม้ และธัญพืช งดการทานเนื้อสัตว์ อาหารย่อยยาก อาหารที่มีไขมันสูง รวมไปถึงอาหารทอด ของมันทุกชนิด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และใครที่เพิ่งเริ่มป่วยโรคดังกล่าว ควรทานยาตามที่หมอสั่งอย่างต่อเนื่อง และลองหันมาดื่มน้ำผักปั่นลดความดันที่เราได้นำมาฝากต่อไปนี้ ช่วยบำรุงร่างกาย ป้องกันโรคความดันสำหรับผู้ที่ยังไม่เป็น และบรรเทาอาการสำหรับผู้ที่เป็นความดันแล้ว

สูตรน้ำปั่นลดความดัน

1. ขึ้นฉ่าย แตงกวา ขิง มะนาว แอปเปิล

แพทย์ชาวกรีกยกย่องให้ขึ้นฉ่ายเป็นยารักษาอาการตึงเครียดทางประสาท ในขณะที่แพทย์จีนใช้ขึ้นฉ่ายรักษาโรคความดันโลหิตสูง และมีการยืนยันว่าสารอาหารในขึ้นฉ่ายช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบ ๆ บริเวณหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีและมีอิสระ ส่วนขิงมีฤทธิ์ร้อน ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนดี ช่วยลดความดัน ส่วนมะนาวและแอปเปิลมีวิตามินซีสูง เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ช่วยลดน้ำหนักส่วนเกิน เพิ่มรสชาติให้น้ำปั่นอร่อย ดื่มง่ายยิ่งขึ้น

2. บีทรูท แอปเปิล ขิง ใบสะระแหน่

คุณประโยชน์ในบีทรูทมีไนเตรทสูง ช่วยลดระดับความดันโลหิตได้ และบีทรูทยังอุดมไปด้วยวิตามิน เช่น วิตามินเอ วิตามินบี และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่ดีต่อสุขภาพหลายด้าน ในขณะที่ใบสะระแหน่เป็นสมุนไพรมีฤทธิ์เย็น ช่วยรักษาอาการอ่อนเพลีย ช่วยขยายหลอดลม ดูแลระบบย่อยอาหาร บรรเทาอาการปวด และแก้อักเสบ การนำส่วนผสมทั้งหมดมาปั่นรวมกันเป็นน้ำปั่น ลดความดัน บำรุงเลือด ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดมีประสิทธิภาพ เลือดไปเลี้ยงสมองและส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เต็มที่

3. แครอท ขึ้นฉ่าย แอปเปิล

แครอทอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กากใยอาหาร และ สารฟีนอล ช่วยลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือด แต่เนื่องจากแครอทมีน้ำตาลสูง อาจทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นได้ จึงต้องนำไปปั่นรวมกับผักและผลไม้อื่น ๆ เช่น แอปเปิล ส่วนใครที่ไม่ชอบกลิ่นขึ้นฉ่าย กลัวว่าจะดื่มยาก หายห่วงได้เลย เพราะมีแครอทและแอปเปิลช่วยตัดกลิ่นเหม็นเขียวของขึ้นฉ่ายได้อย่างดี ยิ่งดื่มเย็น ๆ จะช่วยเพิ่มรสชาติให้อร่อยและดื่มง่ายยิ่งขึ้น

4. แอปเปิล ขึ้นฉ่าย พริกหวาน มะนาว

เนื่องจากขึ้นฉ่ายมีโพแทสเซียมสูง จึงนำมาใช้เป็นน้ำปั่นลดความดันได้ดี ส่วนมะนาวมีวิตามินซีสูง ช่วยเพิ่มรสชาติน้ำปั่นดื่มง่ายขึ้น และช่วยตัดกลิ่นพริกหวานได้อีกด้วย แต่ถ้าใครไม่ไหวกับกลิ่นพริกหวานจริง ๆ ไม่ต้องใส่พริกหวานลงไปปั่นก็ได้ เมื่อปั่นรวมกันเรียบร้อยจะดื่มทันที หรือแช่เย็นสักเล็กน้อย ก็ได้รสอร่อยที่ต่างกันไป แต่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยความดัน

5. ใบย่านาง

ใบย่านางมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และเป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็น สรรพคุณของใบย่านางช่วยลดความดัน ต่อต้านอนุมูลอิสระ หากดื่มน้ำใบย่านางเป็นประจำ จะช่วยลดความดันได้ ซึ่งวิธีทำน้ำใบย่านางง่ายมาก เพียงแค่นำใบย่านางไปคั้นเอาแต่น้ำ หรือจะนำไปปั่นแล้วเติมน้ำมะนาวหรือน้ำผึ้งเล็กน้อย เพื่อเพิ่มรสชาติให้ดื่มง่ายขึ้นก็ได้เช่นกัน

เคล็ดลับปั่นน้ำผักอย่างไรไม่ให้เหม็นเขียว

หลายคนไม่ชอบดื่มน้ำปั่น เพราะไม่ชอบกลิ่นเหม็นเขียวของผักบางชนิด แต่มีวิธีลดกลิ่นเหม็นเขียวของผักเหล่านั้นได้ ด้วยการนำผลไม้ชนิดอื่น ๆ มาปั่นรวมกัน เพื่อให้ตัดความเหม็นเขียวของผักออกไปได้ เช่น

มะนาว หรือ เลมอน : ช่วยตัดรสขม และกลิ่นเหม็นเขียวของผักได้ ช่วยเพิ่มรสชาติ ทำให้น้ำผักดื่มง่ายขึ้น

แครอท : ช่วยกลบกลิ่นเหม็นเขียว และยังเพิ่มรสชาติน้ำผักให้กลมกล่อมขึ้น

แตงกวา : แตงกวามีปริมาณน้ำเยอะ ช่วยเจือจางกลิ่นของผักอื่น ๆ ได้ดี แถมแตงกวามีฤทธิ์เย็น ให้สารน้ำแก่ร่างกาย เพิ่มความสดชื่น และช่วยดับกระหายได้ดี

ขิง : น้ำมันในขิงมีกลิ่นหอม สดชื่น ช่วยตัดกลิ่นเหม็นเขียวของผักอื่น ๆ ได้ดี ช่วยทำให้กลิ่นน้ำผักหอม ชวนดื่ม และมีรสชาติดี ดื่มง่ายมากขึ้น

แอปเปิล : กลิ่นหอมหวานของแอปเปิล ช่วยกลบกลิ่นเหม็นเขียวได้ อีกทั้งรสหอมหวานธรรมชาติในแอปเปิล ช่วยทำให้น้ำผักมีรสอร่อย ดื่มสะดวก แถมมีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี และไฟเบอร์สูงอีกด้วย

ยิ่งอายุมากขึ้น อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายก็ยิ่งเสื่อมลง และยังเสี่ยงต่อการเกิดอาการเจ็บป่วย และโรคต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากร่างกายเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง ทำให้มีไขมันสะสมตามส่วนต่าง ๆ อีกทั้งพฤติกรรมการบริโภคอาหาร รวมถึงอาหารที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไปมักจะไม่ถูกหลักโภชนาการ และมีส่วนผสมที่ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพได้ เมื่อมีการสะสมในปริมาณมาก ทางแอดมินได้รวบรวม 5 ประเภทอาหารที่ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรเลี่ยง และอาหารลดความดันโลหิตสูงที่ควรทานมีอะไรบ้าง 

 

ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงห้ามกินอะไรบ้าง

  1. อาหารที่มีโซเดียมสูง 

อาหารที่มีโซเดียม หรืออาหารที่ใส่เกลือจำนวนมาก รวมไปถึงอาหารรสเค็มจัด เช่น อาหารจำพวกขนมทอดกรอบ ขนมขบเคี้ยว มันฝรั่งทอดกรอบ และอาหารแช่แข็งต่าง ๆ เช่น เนื้อสัตว์แช่แข็ง อาหารทะเลแช่แข็ง ธัญพืชแช่แข็ง มันฝรั่งแช่แข็ง ที่แม้ว่าจะสะดวก ทำกินง่าย หรือมีรสอร่อย แต่มักจะมีเกลือหรือโซเดียมมาก เป็นปัจจัยหลัก ๆ ที่ก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง เนื่องจากเกลือมีผลต่อความสมดุลของเหลวในเลือด และยังเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจตามมาอีกด้วย 

  1. ผักดอง 

ผักดองทุกชนิด ถือว่าเป็นอาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะการทำผักดองจะต้องใช้เกลือปริมาณมาก เพื่อใช้รักษาอาหารให้เก็บไว้ได้นาน ๆ ดังนั้น ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง หรือผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะความดัน ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทผักดองทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นแตงกวาดอง ผักกาดดอง หรือกิมจิ เพราะโซเดียมมีส่วนทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้ 

 

  1. อาหารแปรรูป 

อาหารแปรรูปทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น แฮม ไส้กรอก เบคอน ฮอทดอก ลูกชิ้น เนื้อตัดแต่งแช่แข็ง เนื้อตัดเย็น ฯลฯ ล้วนแต่เป็นอาหารที่มีไขมันทรานส์ ไขมันอิ่มตัว และโซเดียมสูง เมื่อกินเข้าไปจะเป็นการเพิ่มคอเลสเตอรอล สะสมไขมันเลวในร่างกาย ก่อให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นต้น 

  1. น้ำตาล 

อาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ขนมหวาน เบเกอรี่ ทองหยิบ ทองหยอด ขนมหม้อแกง ชานมไข่มุก ชาเย็น ฯลฯ นอกจากจะเพิ่มน้ำหนักทำให้เกิดโรคอ้วนแล้ว น้ำตาลก่อให้เกิดโรคหลายชนิด ทั้งโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และ โรคหลอดเลือดชนิดต่าง ๆ อีกด้วย 

  1. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น เบียร์ ไวน์ รัม เหล้า ถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่เพิ่มความเสี่ยงก่อให้เกิดความดันโลหิตสูงได้ หากดื่มในปริมาณที่มากเกินพอดี เพราะในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีน้ำตาลและแคลอรี่สูง ทำให้น้ำหนักเพิ่มได้ง่าย นำไปสู่โรคอ้วน ลงพุง และโรคอื่น ๆ ตามมาได้ 

 

อาหารช่วยลดความดันโลหิตสูงมีอะไรบ้าง 

  1. ข้าวกล้อง มีไฟเบอร์และใยอาหารสูง ให้พลังงานที่มีประโยชน์ 
  2. เนื้อปลา (ลอกหนังออก) และ เนื้อหอย มีโปรตีน แมกนีเซียม ไขมันต่ำ ให้พลังงาน ช่วยบำรุงหลอดเลือดหัวใจแข็งแรง 
  3. กระเทียม มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันคอเลสเตอรอลเกาะผนังหลอดเลือดแดง 
  4. งาดำ งาขาว มีโปรตีนสูง ไม่มีไขมัน 
  5. ถั่ว เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน มีแมกนีเซียมสูง ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดี 
  6. น้ำมันมะกอก มีกรดไขมันอิ่มตัว ช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวก ความดันลดลง 
  7. นมจืดไขมันต่ำ มีโปรตีน และแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง 
  8. ขึ้นฉ่าย ช่วยลดความเครียด ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน 
  9. แตงโม ช่วยควบคุมการขยายตัวของเส้นเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดดี 
  10. กล้วย มีโพแทสเซียม และโซเดียมในปริมาณที่เหมาะสม และปรับสมดุลในไต

เชื่อว่าหลายคนมักจะได้ยินกันว่าเป็นโรคเก๊าท์ ห้ามกินไก่ จริงหรือมั่ว วันนี้ doo-den จะมาชวนทุกคนค้นหาคำตอบกันค่ะ 

โรคเก๊าท์ เกิดจากอะไร 

โรคเก๊าท์ (Gout) เกิดจากข้อต่อหรือเนื้อเยื่อรอบข้อมีการอักเสบแบบเฉียบพลัน โดยมีสาเหตุมาจากมีกรดยูริก (Uric acid) ในเลือดสูงเป็นระยะเวลานาน จนกรดยูริกกลายเป็นผลึกสะสมอยู่ในข้อ สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างมาก ซึ่งปกติร่างกายจะขับกรดยูริกออกผ่านทางไต เพราะกรดยูริกถือว่าเป็นของเสียสำหรับร่างกาย และการที่ร่างกายมีกรดยูริกสูงเกินไปเกิดได้จากหลายปัจจัย จนก่อให้เกิดภาวะโรคเก๊าท์ อาหาร พันธุกรรม หรือความผิดปกติในอวัยวะของร่างกาย เช่น ไต เป็นต้น 

โรคเก๊าท์มีอาการอย่างไร 

โดยโรคเก๊าท์อาการเบื้องต้นที่สามารถสังเกตได้ คือ มีอาการอักเสบบริเวณข้อต่อแบบเฉียบพลันบ่อย ๆ หรือมีอาการตึง บวม แดง และรู้สึกแสบร้อนบริเวณข้อต่อ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์มักจะเกิดอาการที่ข้อต่อกระดูกฝ่าเท้า หรือ โคนนิ้วหัวแม่เท้า และแม้แต่หลังหูก็สามารถเป็นได้เช่นกัน อาการของโรคเก๊าท์ที่พบได้บ่อย คือ ปวดแสบปวดร้อน เจ็บปวดรุนแรง ผิวหนังรอบ ๆ ข้อบวมแดงและแวววาวมากขึ้น โดยความรุนแรงของอาการจะอยู่ในช่วง 4 – 12 ชั่วโมงแรก ซึ่งจะทำให้เคลื่อนไหวลำบาก และอาการเหล่านี้อาจยาวนานต่อเนื่อง 1 – 3 วัน หรือ 2 – 3 สัปดาห์ แล้วค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ 

โรคเก๊าท์ห้ามกินอะไร 

อาหารที่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ควรหลีกเลี่ยง คือ อาหารจำพวกที่มีสารพิวรีนมากกว่า 150 มิลลิกรัม เพราะเมื่อร่างกายได้รับสารพิวรีน จะมีการสลายให้กลายเป็นกรดยูริก จนเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการเก๊าท์กำเริบนั่นเอง แล้วอาหารอะไรบ้างที่คนเป็นเก๊าท์คนเลี่ยง … 

  • ไต 
  • ตับ 
  • ไส้ตัน
  • เนื้อเป็ด 
  • เนื้อไก่
  • ไข่ปลา
  • ปลาทู
  • ปลาซาร์ดีน 
  • หอยเชลล์
  • กะปิจากปลาไส้ตัน
  • น้ำปลา
  • น้ำสกัดจากเนื้อเข้มข้น
  • น้ำต้มเนื้อ 
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด

อาหารอะไรที่คนเป็นเก๊าท์กินได้ 

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ สามารถรับประทานได้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 

 

  • อาหารที่มีสารพิวรีน 0 – 50 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่ามีปริมาณน้อยมาก โดยสามารถทานอาหารเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องจำกัดปริมาณ เช่น ข้าว ขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยว มักกะโรนี ไข่ นม กะทิ เนย น้ำมันหมู ผักและผลไม้ทุกชนิด ข้าวโพด เกาลัด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ รวมไปถึงขนมหวานและเบเกอรี่ต่าง ๆ เช่น ทองหยิบ ทอยหยอด ขนมปัง เค้ก คุกกี้ หรือแม้แต่เครื่องดื่มอย่าง ชา กาแฟ หรือ โกโก้ เป็นต้น 

 

  • อาหารที่มีสารพิวรีน 50 – 150 กรัม เพราะถือว่าเป็นปริมาณที่ไม่สูงมาก ลดความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่ออาการเก๊าท์กำเริบ สามารถทานได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณ เช่น เนื้อปลา เนื้อหมู เนื้อวัว ปู กุ้ง ส่วนเครื่องในสัตว์ อย่าง กระเพาะ และ ผ้าขี้ริ้ว สามารถทานได้ และพืชผักจำพวก หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม ดอกกะหล่ำ เห็ด ชะอม และ ถั่วต่าง ๆ เป็นต้น 

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเนื้อไก่จะเป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ควรหลีกเลี่ยง แต่เนื้อไก่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่ก่อให้เกิดการเป็นเก๊าท์ เพียงแต่เนื้อไก่มีสารพิวรีนสูง ผู้ที่เป็นเก๊าท์จึงควรระมัดระวังในการทานไก่ โดยควรทานไก่ในปริมาณที่จำกัด แต่ถ้าไม่แน่ใจก็อาจหลีกเลี่ยงไม่ทานเลย เปลี่ยนไปทานอาหารที่มีพิวรีนต่ำแทน จะช่วยลดโอกาสความเสี่ยงที่ก่อให้อาการเก๊าท์กำเริบได้ค่ะ 

บีทรูท คือ พืชชนิดหนึ่งที่นิยมทานในส่วนของรากที่อยู่ใต้ดิน และส่วนที่เป็นของหัวบีทรูท กินดิบ นำไปดอง ปรุงอาหาร เครื่องดื่ม หรือนำไปเพิ่มสีสันให้กับอาหาร และนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมไปถึงการนำบีทรูทใช้เป็นยารักษาโรค ด้วยบีทรูทอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญต่าง ๆ มากมาย เช่น วิตามินซี วิตามินบี ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม แมงกานีส โฟเลต และไฟเบอร์สูง 

 

วันนี้แอดมินจะมาชวนทุกคนรู้ถึงสรรพคุณของบีทรูท มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ทำไมผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ทานบีทรูท โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง 

ลักษณะของบีทรูท 

หัว : หัวใต้ดิน ทรงกลมป้อม อวบน้ำ มีสีแดงเลือดหมู สีม่วงแดง สีเหลือง 

ใบ : ใบเดี่ยวรูปหัวใจ เรียงสลับ มีก้านยาว 

ดอก : ดอกลักษณะเดี่ยว เป็นช่อขนาดเล็กสีเขียวอ่อน 

ผล : ผลมีขนาดเล็ก 

บีทรูทมีสารสีแดง Betanin (บีทานิน) ซึ่งเป็นกรดอะมิโน ทำให้สรรพคุณบีทรูทช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง ต่อต้านการเกิดมะเร็ง ลดการเติบโตของเนื้องอก ทำให้การไหลเวียนของเลือดลมดีขึ้น อีกทั้งบีทรูทมี Anthocyanin (แอนโทไซยานิน) ซึ่งเป็นสารสีม่วง มีค่า pH 7-8 สภาพเป็นเบส โดยสารสีแดง pH มากกว่า 11 มีสภาพความเป็นกรด ในขณะที่สีน้ำเงินที่เป็นสารแอนโทไซยานิน ค่า pH น้อยกว่า 3 ทำให้บีทรูทมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและลดอาการอัมพาต 

ประโยชน์ของบีทรูท 

สรรพคุณของบีทรูทด้านภูมิคุ้มกัน 

  • เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ
  • ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย 
  • เสริมสร้างกำลังและความแข็งแรงให้กับร่างกาย 
  • ลดอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย 
  • ล้างสารพิษในร่างกาย 

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านระบบเลือด

  • ลดการอุดตันในหลอดเลือด
  • ลดความดันเลือด
  • บำรุงหลอดเลือด
  • เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตเลือด
  • ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
  • แก้อาการเลือดประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • ลดการสะสมไขมัน

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านบำรุงหัวใจ 

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านโรคมะเร็ง 

  • ต่อต้านการเกิดมะเร็ง
  • ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง 
  • ลดการเจริญเติบโตของเนื้องอก

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย 

  • ช่วยให้เจริญอาหาร
  • ขับปัสสาวะ 
  • เป็นยาระบายอ่อน ๆ 
  • บำรุงไตและถุงน้ำดี

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านบรรเทาอาการ

  • แก้อาการไอ เจ็บคอ ขับเสมหะ 
  • ลดอาการบวม

 

สรรพคุณของบีทรูทด้านความงาม 

  • รักษาระบบน้ำเหลืองเสีย
  • รักษาสิวหนอง สิวอักเสบ

 

สรรพคุณทางยาของบีทรูท 

ดื่มน้ำบีทรูทคั้นในช่วงเวลา 06.00 – 08.00 น. ก่อนรับประทานอาหาร ช่วยให้การไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี ช่วยให้เจริญอาหาร เป็นยาระบาย ขับปัสสาวะ 

 

ดื่มน้ำบีทรูทในช่วงเวลา 21.00 – 22.00 น. ดื่มน้ำบีทรูทก่อนนอน ช่วย detox ร่างกาย ล้างสารพิษ บำรุงไต ถุงน้ำดี แก้เจ็บคอ แก้ไอ ขับเสมหะ ลดอาการบวม 

 

ประโยชน์ของบีทรูทด้านอื่น ๆ 

บีทรูทสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารและเครื่องดื่มได้หลากหลายเมนู เช่น เส้นพาสต้าบีทรูท สลัดน้ำบีทรูท สาคูไส้บีทรูท ขมมเค้ก พุดดิ้งนมสดบีทรูท ไอศกรีม หรือจะนำไปหมักทำเป็นไวน์ สมูทตี้ ซึ่งบีทรูทปั่นกับอะไรก็อร่อย และนำไปดองทำเป็นน้ำส้มสายชู หรือนำไปแกะสลัก ใช้ตกแต่งอาหาร และทำเป็นสีผสมอาหารจากธรรมชาติได้อีกด้วย 

การทำน้ำบีทรูทง่าย ๆ ที่นอกเหนือจากการนำไปปั่นสมูทตี้ 

  • ปอกเปลือกบีทรูทแล้วนำไปล้างให้สะอาด 
  • หั่นบีทรูทเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่เครื่องปั่นแยกกาก หรือปั่นปกติแล้วใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำ 
  • นำน้ำบีทรูทที่กรองใส่หม้อตั้งไฟ 
  • เติมน้ำตาลทราย ½ ถ้วย 
  • เติมเกลือ ⅓ ช้อนชา 
  • ชิมได้รสตามชอบ 
  • ปิดไฟเมื่อน้ำบีทรูทพอเริ่มเดือดเล็กน้อยหรือแค่พออุ่น
  • ดื่มตอนยังอุ่น ๆ หรือตั้งให้เย็นแล้วดื่ม หรือเติมน้ำแข็งตามชอบ 

ใคร ๆ ก็รู้ว่าประโยชน์ของไข่ไก่ อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ทำเมนูไหนก็อร่อย แถมราคาถูก หลายคนที่มักจะซื้อไข่ยกแผง แต่เมื่อจะปรุงอาหารทีไรก็นึกได้แต่เมนูเบสิค วันนี้เราจะมาชวนเปลี่ยนเมนูไข่แบบเดิม ๆ ให้เป็นเมนูไข่สุดว้าว ทำง่าย ทานได้บ่อย ไม่มีเบื่อ และเพิ่มเติมคือความอร่อย ฟิน แถมทำขายก็ไอเดียเก๋ เริสแน่นอน 

  1. ไข่กระทะทรงเครื่อง

 

วัตถุดิบ

  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • หมูสับ 60 กรัม 
  • ไส้กรอก 40 กรัม 
  • หมูยอ 30 กรัม 
  • กุนเชียงทอด 30 กรัม
  • ข้าวโพด 15 กรัม 
  • ถั่วลันเตา 15 กรัม 
  • แครอท 15 กรัม 
  • ต้นหอม 2 กรัม
  • น้ำมันพืช 30 มิลลิลิตร 
  • เครื่องปรุงรส ( เช่น ซอสถั่วเหลือง , อุไมซอส)

 

วิธีทำ 

  • ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย 
  • นำหมูสับลงไปรวน และปรุงรสด้วยซอสที่เตรียมไว้
  • ตักหมูขึ้นพัก
  • หั่นไส้กรอก หมูยอ และกุนเชียงจัดใส่จานเตรียมสำหรับเสิร์ฟ
  • ตั้งกระทะใส่น้ำมัน 
  • ตอกไข่ไก่ลงไปในกระทะ ทอดจนไข่สุกแล้วปิดไฟ
  • ลวกแครอท ถั่วลันเตา และข้าวโพดให้พอสุก
  • ตักผักลวกขึ้นจัดลงบนกระทะที่เล็กที่เตรียมไว้ ดามด้วยหมูสับ ไส้กรอก และกุนเชียง 
  • โรยด้วยต้นหอม
  • พร้อมเสิร์ฟ 

  1. ไข่ตุ๋นญี่ปุ่นไข่ปลาแซลมอน 

 

วัตถุดิบ

  • ไข่ไก่ 2 ฟอง 
  • แซลมอนหั่นเต๋า 30 กรัม
  • กุ้งขาวลวก 
  • ไข่ปลาแซลมอนเล็กน้อย 
  • เห็ดหอม 
  • เม็ดแปะก๊วย
  • ขึ้นฉ่าย 
  • เครื่องปรุง (ซอส หรือน้ำซุปดาชิเข้มข้น คิดโคแมน) 
  • น้ำสะอาด 100 มิลลิลิตร 

 

วิธีทำ 

  • ตอกไข่ใส่ชาม ตึไข่ให้เข้ากัน 
  • เติมเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ลงผสมกับไข่ให้เข้ากัน
  • กรองไข่ผ่านกระชอนเพื่อให้ไข่มีเนื้อเนียน 
  • เตรียมหม้อนึ่ง ตั้งน้ำให้เดือด ด้วยไฟอ่อน 
  • นำแซลมอนใส่ถ้วยไข่ตุ๋น จากนั้นเทไข่ตามลงไป แล้วปิดปากถ้วยด้วยฟอยล์ 
  • นึ่งประมาณ 10 – 15 นาที จนไข่สุก
  • นำแปะก๊วย กุ้งขาวลวก ไข่ปลาแซลมอน และขึ้นฉ่ายตกแต่งหน้าไข่ตุ๋นให้สวยงาม 
  • พร้อมเสิร์ฟ 

  1. ไข่ดองโชยุ 

 

วัตถุดิบ 

  • ไข่ไก่ 5 – 6 ฟอง 
  • มันหมูแข็ง 2 ถ้วย 
  • น้ำกระเทียมดอง 45 กรัม 
  • กระเทียมซอย 2 กลีบ 
  • พริกจินดา 3 – 4 เม็ด 
  • มิริน 15 กรัม 
  • ซอสถั่วเหลือง โชยุ 150 กรัม 
  • ข้าวสวย 2 ถ้วย 
  • กระเทียมเจียว และ ต้นหอมซอย (สำหรับเสิร์ฟ) 

 

วิธีทำ 

  • ผสม โชยุ น้ำกระเทียมดอง และ มิริน เข้าด้วยกัน 
  • ตามด้วยพริกและกระเทียมซอย 
  • แยกไข่แดงออกจากไข่ขาว แล้วนำเฉพาะไข่แดงใส่ลงไปดอง 
  • นำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 6 ชั่วโมง 
  • เจียวกากหมูจนกรอบ แล้วสะเด็ดน้ำมันพักไว้ 
  • ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันเล็กน้อย 
  • นำไข่ขาวที่แยกไว้เพียงเล็กน้อยใส่ลงไปยีในกระทะให้พอสุก 
  • ใส่ข้าวลงไปผัด
  • แบ่งกากหมูส่วนหนึ่งลงไปผัดกับข้าว 
  • ตักข้าวเสิร์ฟพร้อมกับไข่ดอง กากหมู กระเทียมเจียว และต้นหอมซอยที่เตรียมไว้ 

  1. ไข่ม้วนญี่ปุ่น 

 

วัตถุดิบ 

  • ไข่ไก่ 2 – 3 ฟอง 
  • ทูน่าในน้ำเกลือ 50 กรัม 
  • ไข่ปลา 1 ช้อนโต๊ะ 
  • กะหล่ำปลีซอย 2 ช้อนโต๊ะ 
  • ใบชิโสะ 3 – 4 ใบ
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา 
  • มายองเนส 1 ½ ช้อนโต๊ะ 
  • คิคโคแมน ชิโร ดาชิ 2 ช้อนโต๊ะ (หรือซอสถั่วเหลืองที่มี) 
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ 
  • น้ำสะอาด 1 ช้อนโต๊ะ 

 

วิธีทำ 

  • ตอกไข่ไก่ใส่ชาม 
  • เติมน้ำตาลทราย ชิโรดาชิ และน้ำสะอาดแล้วตีให้เข้ากัน และกรองด้วยกระชอน
  • ตั้งกระทะที่จะทำไข่ม้วน 
  • ทาน้ำมันเคลือบกระทะให้บาง ๆ 
  • เมื่อกระทะเริ่มอุ่น ให้ใส่ไข่ที่กรองไว้แล้วลงไปให้พอเคลือบกระทะ
  • รอจนไข่เริ่มสุก ม้วนไข่เข้าหาตัว แล้วดันออกไป 
  • ทาน้ำมันเคลือบกระทะอีกรอบ แล้วใส่ไข่ลงในกระทะ ทำซ้ำ ๆ จนไข่หมด 
  • วางไข้ม้วนลงบนเสื่อห่อซูชิ 
  • ม้วนจัดทรงแล้วตั้งพักไว้ 
  • ทำหน้าทูน่า ด้วยการกรองน้ำทูน่าออก 
  • เติมมายองเนสลงไปคลุกเคล้ากับทูน่าให้เข้ากัน 
  • นำใบชิโสะจัดรองลงบนจานเสิร์ฟ
  • หั่นไข่ม้วนเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วจัดลงบนจาน
  • วางกะหล่ำปลีซอยลงไปเล็กน้อย ตามด้วยทูน่า 
  • ตกแต่งด้วยไข่ปลา
  • พร้อมเสิร์ฟ