“Follow your passion” วลีเด็ดที่มีอิทธิพลต่อการผลักดันให้ใครได้ลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่รักมาแล้วมากมาย แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเลย ที่ต้องการเดินไปจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพราะหมด Passion  

Stressed Asian girl resting her head on a laptop

การหมด Passion คืออะไร 

ถ้าให้แปลตรงตัวเลย Passion แปลว่า ความหลงไหล ดังนั้น Passion ในการทำงาน จึงหมายถึง การมีความหลงไหล มีความรักและกระตืนรืนร้นในงานที่ทำ ในขณะที่การหมด Passion แปลว่า หมดความกระตือรือร้นในงานที่ทำ หรืองานมันน่าเบื่อจนไม่อยากทำอีกต่อไป 

 

การหมด Passion สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสิ่ง ทั้งการหมด Passion ในการทำงาน การเรียน ความรัก หรือหมด passion ในการใช้ชีวิต ซึ่งเคยมีคนกล่าวว่า การตามหา Passion นั้นยาก แต่การรักษา Passion ยากกว่า และจะยากมากยิ่งขึ้น หากเราต้องดูแลและรักษา Passion ให้กับคนอื่น โดยเฉพาะสำหรับผู้นำ หรือผู้ที่ต้องทำหน้าที่อย่าง HR หรือฝ่ายทรัพยากรบุคคล ที่ต้องคอยประคองในส่วนนี้ไว้ให้กับพนักงาน เพราะการหมด Passion ในการทำงาน ย่อมส่งผลกระทบต่อองค์กรอย่างแน่นอน 

Passion กับ Burnout แตกต่างกันยังไง 

การหมด Passion จะแตกต่างกับ Burnout ตรงที่ อาการของ Burnout คือ ความทุกข์ทรมานจากการเหนื่อยล้าทางจิตใจและอารมณ์ จนนำไปสู่การหมด Passion ได้ แต่ถ้าเริ่มจากที่ Passion หายไป ก็อาจไม่ได้ทำให้เกิดอาการ Burnout ตามมา แต่เป็นเพียงแค่ความชอบ ความตื่นเต้นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันหมด และไม่สนใจในสิ่งนั้นอีกต่อไป 

ทำไมพนักงานจึงหมด Passion 

สาเหตุการหมด Passion ในการทำงานมีได้หลากหลายและแตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเพราะว่างานน่าเบื่อ แต่เป็นเพราะ ตัวบุคคล ต่างหาก ที่เป็นสาเหตุหลักทำให้พนักงานหมดความรู้สึกร่วมกับสิ่งที่ทำอยู่  

 

  1. นั่งทำงานไปวัน ๆ 

การที่สมองได้รับรู้เรื่องราวเดิม ๆ เจอกับสิ่งเดิม ๆ ซ้ำซาก จนกลายเป็นความน่าเบื่อ ที่เข้าสู่สภาวะ Auto pilot โดยคำนี้เป็นคำที่ใช้ในวงการนักบินอวกาศ ซึ่งเป็นการที่นักบินปล่อยให้ยานอวกาศเข้าสู่โหมดบินเองโดยอัตโนมัติ การนำมาเปรียบเทียบกับระบบการทำงาน หมายถึงการทำงานแบบไม่มีเป้าหมาย ไร้ passion เป็นการทำงานให้เสร็จ ๆ ไปเท่านั้น ในแต่ละวัน 

 

  1. รู้สึกว่าตนไร้คุณค่า 

ไม่ว่าจะเป็นงานประเภทใดก็ตาม หากผู้บริหาร หรือ เจ้าของกิจการ ไม่มีการส่งเสริมให้พนักงานรู้สึกว่าตนมีคุณค่า หรือเสริมสร้างกำลังใจให้กับคนทำงาน ก็สามารถบั่นทอนจิตใจพนักงานให้หมดแพชชั่นในการสรรสร้างผลงาน ก็เหมือนกับที่คุณทำสิ่งดี ๆ ให้ใครสักคน แต่กลับไม่มี feedback หรือแม้แต่คำ ขอบคุณ กลับมา ถามว่า คุณจะยังอยากทำดีกับคนนั้นในครั้งต่อไปอีกไหม 

 

  1. ไม่มีการเติบโตของสายงาน 

การเติบโตในหน้าที่การงาน เป็นสิ่งจำเป็นมากในการรักษา Passion ของพนักงาน เพราะสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้แพชชั่นของคนทำงานหมดไป จนต้องลาออกหรือไปหางานใหม่ คือ การที่รู้ว่าตนเองไม่มีโอกาสได้เติบโตในสายงานของตนแน่ ๆ หากยังคงอยู่ต่อไป จึงหมดกำลังใจและไม่มีแรงผลักดันที่จะพัฒนาตนให้กับสิ่งที่ทำไปก็เสียเวลา ดังนั้น การเติบโตในหน้าที่การงาน การได้รับเลื่อนตำแหน่งหรือเงินเดือน จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ความภูมิใจ แต่มันเป็นสิ่งกระตุ้นชั้นดีที่จะช่วยให้พนักงานเกิดแรงปรารถนาพัฒนาตัวเอง 

 

  1. ได้รับค่าจ้างต่ำเกินไป 

ค่าจ้างในที่นี้ไม่ได้หมายถึง จำนวนเงินที่ได้รับ แต่หมายถึง ค่าจ้างที่ได้รับต่ำกว่าความพยายามของพนักงานคนนั้น ความทุ่มเท ความคอยพัฒนาตนเอง ความให้การใส่ใจ แต่ผลตอบแทนที่ได้ ไม่เพียงแต่เฉพาะเม็ดเงินที่ได้ต่ำกว่าความเหนื่อยยากจนไม่มีความคุ้มค่าแล้ว แต่ยังเป็นการตอกย้ำให้พนักงานรู้สึกถึงการไม่มีคุณค่าในตนเอง จนรู้สึกได้ว่าตนนั้นไม่มีค่าพอต่อองค์กร จนทำให้รู้สึก Burnout และหมด Passrion ในการทำงานต่อไป 

 

  1. หมดพลังงานในการทำงาน 

จุดเริ่มต้นของ Burnout เพราะจากทุกข้อที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ สะสมจนกลายเป็นความทุกข์ทรมานทางความรู้สึกและจิตใจ ทำให้พลังงานในการทำงานลดลง และหมด Passion ที่จะอยู่ต่อ เพราะสมองเริ่มต่อต้าน ในขณะที่สภาพจิตใจก็ไร้สิ่งเยียวยา  

สังเกตได้อย่างไรว่าพนักงานหมด Passion 

  1. คิดอะไรใหม่ ๆ ไม่ออก เพราะสมองไม่ผ่อนคลาย อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกต่อต้าน หมดกำลังใจ ไม่เห็นโอกาสที่ดี ในขณะที่มีแต่อุปสรรคและการบีบคั้น ทำให้ไม่มีกำลังใจที่จะคิดอะไรใหม่ ๆ ได้อย่างสร้างสรรค์ 

 

  1. ทำงานสักแต่ให้เสร็จ พนักงานที่หมด Passion จะทำใส่ใจในการทำงานน้อยลง ความทุ่มเทที่เคยมีให้ก็น้อยลง ความคิดสร้างสรรค์ผลงานน้อยลง และไม่ใส่ใจหรือรู้สึกเดือดร้อน หากจะมีใครทำงานได้ดีกว่า แค่สักแต่ทำงานของตนให้เสร็จ ๆ ไปเท่านั้น 

 

  1. เหน็ดเหนื่อย หมดพลัง มีความเครียด คนที่หมด Passion จะหมดความรู้สึกสนุก ความตื่นเต้น ความต้องการสำเร็จในปลายทาง เพราะเบื่อหน่ายกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หมดพลัง รู้สึกเหนื่อยหน่าย จนกลายเป็นความเครียด 

 

หมด Passion ในการทำงาน ทำไงดี 

  1. ไม่ต้องตามหา Passion แค่หาคุณค่าในตนเองก็พอ 
  2. Passion ไม่จำเป็นต้องมีกับงานประจำ แต่ passion ที่ดีอาจอยู่ที่งานอดิเรกก็ได้ 
  3. ลองเปลี่ยนไปทำอะไรใหม่ ๆ อาจพบ Passion ที่ทำให้ภูมิใจในคุณค่าของตนเอง 
  4. หากหมด Passion จากการ Burnout อย่าทนจนหมดพลังในการหาแพชชั่นใหม่ ๆ 
  5. พักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจให้มากพอ ชาร์จพลังให้เต็มที่ เพื่อจะได้พร้อมในการหา Passion ใหม่ ๆ 

เป้าหมาย คือ สิ่งที่ทำให้เรามุ่งตรงไปยังจุดหมาย โดยมี Passion ในการทำงาน เป็นแรงผลักดัน ส่งเสริมให้ผลงานออกมาดี และถึงปลายทางได้อย่างประสบความสำเร็จ องค์กรที่ประสบความสำเร็จ มักจะให้ความสำคัญในการสร้าง feedback แก่พนักงาน เพราะความสำเร็จของพนักงาน คือ ความสำเร็จขององค์กรเช่นกัน 

สิ้นสุดการรอคอย กับเทศกาลงานบุญประจำปี ประเพณีนมัสการรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ พระบาทพลวง จันทบุรี ประเพณีสำคัญของพุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาแสวงบุญ เราขอแจ้งข่าวดีว่า ทริปสายบุญของผู้มีจิตศรัทธากลับมาแล้ว โดยทางเขาคิชฌกูฏจะมีการเปิดให้ประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวงได้แล้วในปี 2566 เริ่มเข้าสู่ศักราชใหม่ ก็มีข่าวดีให้สายบุญได้เฮกันตั้งแต่ต้นปีแล้ว  

เขาคิชฌกูฏ จันทบุรี 66 เปิดวันไหน 

ในปี 2566 นี้ ประชาชนสามารถขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวง ได้ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม – 22 มีนาคม 2566 โดยจะมีพิธีปิดป่าและเปิดงาน ในวันที่ 20 มกราคม 2566 

ขอบคุณภาพจาก : https://en.wikipedia.org/

วิธีการเดินทางไปเขาคิชฌกูฏ 

  1. รถยนต์ส่วนตัว : สำหรับผู้ที่เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลไปเขาคิชฌกูฏ เส้นทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (Motorway) โดยเริ่มต้นที่สนนศรีนครินทร์ กรุงเทพ ผ่านอำเภอบ้านบึง มุ่งสูอำเภอแกลง เมื่อเจอสามแยกแกลงให้เลี้ยวซ้าย ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 จนถึงจันทรบุรี รวมระยะทางประมาณ 230-250 กิโลเมตร เมื่อถึงพระบาทพลวงต้องจอดรถไว้ที่บริเวณลานจอดด้านล่าง จากนั้นจะมีรถให้บริการขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏจันทบุรี ด้วยทางขึ้นลาดชันและเป็นถนนลูกนรังตลอดทาง เพื่อความปลอดภัยของผู้มาแสวงบุญ อีกทั้งเขาพระบาทเป็นพื้นที่อุทยานจึงไม่สามารถนำรถส่วนบุคคลขึ้นไปข้างบนได้
  2. รถโดยสาร : รถโดยสารที่ทาง ขสมก.จัดไว้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปเขาคิชณกูฏโดยเฉพาะ ซึ่งเดินทางกรุงเทพ ถึง วัดกระทิง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี
  3. รถตู้รับส่ง บริษัทเอกชน
ขอบคุณภาพจาก : https://www.bangkokpost.com/

วิธีขึ้นไปบนยอดเขาพระบาท 

เนื่องจากไม่สามารถนำส่วนบุคคลขึ้นไปได้ ทำให้การขึ้นไปถึงยอดเขาพระบาท มี 2 วิธี ได้แก่ 

  1. ใช้บริการรถรับส่ง มี 2 จุดขึ้นรถ ได้แก่ วัดพลวง และ วัดกะทิง 
  2. การเดินเท้า 

 

ระยะเวลาในการเดินขึ้นเขาคิชฌกูฏจันทบุรีกี่ชั่วโมง 

สำหรับใครที่มีจิตศรัทธาแรงกล้า ต้องการจะไปสักการะรอยพระพุทธบาทด้วยการเดินเท้าขึ้นไป จะใช้เวลาประมาณ 3-6 ชั่วโมง ซึ่งนับว่ามีคนจำนวนมากเลยทีเดียวที่เลือกจะเดินเท้าขึ้นไปถึงยอดเขา ซึ่งรวมไปถึงผู้ที่เคยมาทำการสักการะแล้วมีการบนบานไว้ จะกลับมาสักการะอีกครั้งด้วยการเดินเท้าขึ้นไปถึงยอดเขาพระบาท แต่สำหรับใครที่ต้องการใช้บริการรถรับส่ง จะมีคิวรถที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง ซึ่งใช้เวลานั่งรถประมาณ 15 นาที เท่านั้น 

 

 

การลงทะเบียนขึ้นเขาคิชฌกูฏจันบุรี 2566 

ตั้งแต่เกิดการระบาดโรคโควิด-19 ทำให้การขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาท ณ เขาคิชฌกูจต้องมีการลงทะเบียนผ่านช่องทางออนไลน์ ที่แอป KCKQue เพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดของผู้คน ช่วยลดความเสี่ยงการแพร่กระจายของโรค ซึ่งปีนี้ ทางแอปพลิเคชั่นก็ยังคงเปิดให้ทำการลงทะเบียน แต่สำหรับใครที่ไม่ได้จองคิวมาก่อนล้วงหน้า ก็สามารถไปลงทะเบียนที่หน้างานได้เช่นกัน 

 

ขั้นตอนการจองคิว เขาคิชฌกูฏ 

  1. ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน KCKQue 
  2. กดเลือกเมนู ข้อมูลการจองคิว 
  3. เลือก เพิ่มข้อมูลการจอง 
  4. เลือกรูปแบบในการขึ้นเขา เดินเท้า หรือ จองคิวรถบริการตามจุดที่ต้องการ 
  5. เลือกวัน เวลาที่ต้องการขึ้นเขาคิชฌกูฏ 
  6. เมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วน จะได้ QR Code ซึ่งเป็นบัตรจองคิวขึ้นเขาคิชฌกูฏ โดยให้นำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ในวันที่เดินทางขึ้นเขาพระบาท 

 

การจองคิวลงทะเบียนสามารถทำได้วันละไม่เกิน 5 ใบจอง และมีผู้ติดตามไม่เกิน 50 คน / ใบจอง ซึ่งจะต้องเดินทางในวันและเวลาตามที่ได้ทำการจองไว้ 

หลายคนรู้กันดีว่า การดื่มน้ำเปล่าหลังตื่นนอนในตอนเช้านั้นดีต่อสุขภาพ แล้วถ้าบีบน้ำมะนาวใส่ลงไปด้วยล่ะ การดื่มน้ำมะนาวตอนเช้า มีประโยชน์และส่งผลดีต่อร่างกายอย่างไร ใครที่รักสุขภาพ คงต้องรู้ข้อมูลต่อไปนี้ไว้บ้างแล้วค่ะ

 

  1. ระบบคุ้มกันและปรับค่า pH ในร่างกาย

มะนาวขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งวิตามินซีสูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ดูดซึมธาตุเหล็ก เสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ป้องกันหวัดได้ดี และการดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นเป็นประจำ จะช่วยปรับค่า pH ลดความเป็นกรดในเลือด โดยเฉพาะกรดยูริก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการปวดและอักเสบ เพราะในมะนาวจะมี Alkaline Water ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง และยังช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน

 

  1. ระบบย่อยอาหาร

การดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้าช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารได้ดี แต่ถ้าเพิ่มน้ำมะนาวลงไปในน้ำอุ่น จะยิ่งไปช่วยเสริมทัพ เพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นน้ำย่อยในกระเพาะ ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี แถมน้ำมะนาวยังช่วยกำจัดกรดและสารต่าง ๆ ที่ตกค้างในร่างกาย ทำให้ตับสะอาดอีกด้วย

  1. ระบบขับถ่าย 

น้ำมะนาวช่วยดีท็อกซ์สารพิษในร่างกาย และในเปลือกมะนาวมีคาร์โบไฮเดรตที่ช่วยลดความอยากอาหารได้ เหมาะต่อการใช้เป็นสูตรลดความอ้วน โดยการบีบน้ำมะนาวลงในน้ำอุ่น 1 แก้ว และแช่เปลือกมะนาวลงไปด้วย แช่ไว้สักพักแล้วจึงนำมาดื่ม ช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย และส่งผลต่อการลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น 

  1. กระตุ้นการผลิตคอลลาเจน

เพราะคอลลาเจนเป็นสิ่งที่ร่างกายไม่ควรขาด โดยเฉพาะเพศหญิง เพราะถ้าผิวขาดคอลลาเจนเมื่อไร ผิวแห้งเหี่ยว แลดูไม่สวยงาม แต่ถ้าอยากมีผิวเต่งตึง ดูอ่อนกว่าวัย ไม่ควรพลาดกับการดื่มน้ำมะนาวอย่างสม่ำเสมอ โดยกินมะนาวให้ได้ 1 ถ้วยตวงทุกวัน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น นอกจากผิวสวย อ่อนเยาว์  คอลลาเจนยังช่วยชะลอความเสื่อมของผนังเลือด กระดูกอ่อน และเอ็นข้อต่าง ๆ ด้วย

  1. เติมความชุ่มชื้นให้ร่างกาย

สำหรับใครที่มีสภาพผิวแห้ง หรือช่วงไหนที่ผิวแห้งกร้าน การดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่น 1 แก้วหลังตื่นนอนเป็นประจำ จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมามีความชุ่มชื้น เนื่องจากน้ำมะนาวจะเข้าไปเติมเต็มของเหลวในร่างกายที่ขาดให้กลับมามีสภาพปกติ 

 

  1. ช่วยให้ลมหายใจหอมสดชื่น

แทบทุกคนเมื่อตื่นนอนตอนเช้ามักจะมีกลิ่นปาก การดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นสักแก้วหลังตื่นนอน จะช่วยบรรเทากลิ่นปากให้ลดลง และดื่มน้ำมะนาวหลังแปรงฟันอีกรอบ จะช่วยให้ลมหายใจสดชื่น แถมน้ำมะนาวยังช่วยลดอาการปวดฟันได้ด้วย 

 

  1. บำรุงผิวพรรณจากภายใน

วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมะนาว ช่วยลดริ้วรอยสิว แก้ปัญหาผิวมัน ขจัดแบคทีเรียชนิดที่ก่อให้เกิดสิว และช่วยให้ผิวแลดูมีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก หรือใช้มะนาวเพื่อให้แผลเป็นจางลง ด้วยการนำมะนาวมาใช้กับแผลเป็นโดยตรงก็ได้เช่นกัน

สำหรับใครที่ปลูกต้นไม้ไว้ที่บ้านหรือในคอนโด แล้วจำเป็นต้องทิ้งบ้านหลายวัน ไม่มีใครคอยรดนำและดูแลต้นไม้ให้ หรือแม้แต่ช่วงสัปดาห์ที่งานยุ่ง จนไม่มีเวลาปลีกตัวมาดูแลต้นไม้แสนรักได้ ทำอย่างไรให้ต้นไม้ไม่ยืนต้นตาย หรือแห้งเหี่ยวเพราะขาดการดูแล เรามีวิธีการดูแลต้นไม้แบบไม่รดน้ำต้นไม้ 2 อาทิตย์ ก็ยังอยู่รอดปลอดภัย สำหรับใครที่กำลังจะต้องทิ้งบ้านไปทำธุระ หรือเดินทางไปฉลองเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะถึงนี้ ทำอย่างไรบ้างไปดูกันเลยค่ะ  

ต้นไม้ขนาดเล็ก / ต้นไม้กระถาง

ต้นไม้ขนาดเล็ก / ต้นไม้กระถาง

ไม้พันธุ์เล็ก หรือไม้กระถาง เช่น บอนไซ ไม้ดัด ไม้พุ่มเตี้ยต่าง ๆ หลังจากรดน้ำจนชุ่มแล้ว ให้นำถาดหรือจานรองมาวางใต้กระถาง แล้วใส่น้ำลงบนถาดให้เต็ม แล้วนำแก้วหรือภาชนะโปร่งแสงมาครอบไว้ เพื่อรักษาน้ำไว้ภายใน และนำไปวางไว้ในที่แสงแดดส่องถึง หรือใต้ร่มเงาที่แสงแดดส่องรำไร เช่น ข้างหน้าต่าง เป็นต้น 

ต้นไม้ขนาดใหญ่ / ไม้ในสวน 

ต้นไม้ขนาดใหญ่ / ไม้ในสวน 

สำหรับบ้านที่มีพื้นที่สวน หรือสนามหญ้า มีการปลูกต้นไม้ยืนต้น ไม้พุ่มต่าง ๆ ควรติดตั้งระบบให้น้ำอัตโนมัติ ที่สามารถตั้งเวลา และกำหนดปริมาณน้ำได้ หรือถ้ามีทุนทรัพย์มากพอ อาจเลือกระบบที่สามารถกดสั่งรีโมททางโทรศัพท์ได้ยิ่งดี การใช้วิธีนี้จ่วยให้การดูแลต้นในสวนของเราอยู่ได้นาน แม้จะไม่อยู่บ้านเป็นเดือน ๆ ก็ตาม 

กักเก็บน้ำด้วยขวดน้ำพลาสติก / กะละมัง 

นำขวดน้ำพลาสติกขนาดใหญ่กว่ากระถาง (ประมาณ 5 ลิตร) ตัดผ่าครึ่ง นำส่วนก้นใส่น้ำในปริมาณที่กะไว้ว่าน่าจะพอดีตามจำนวนวันที่เราไม่อยู่บ้าน แล้วนำกระถางต้นไม้ซ้อนลงข้างในขวดน้ำ หรือซ้อนลงในกะละมัง เพื่อให้รากต้นไม้สามารถดูดซึมน้ำได้ตลอดวัน แต่ต้องระวังอย่าใส่น้ำจนมากเกินไป หรือใสน้ำสูงเกินไปจนท่วมราก เพราะอาจทำให้เป็นเชื้อราหรือรากเน่าและตายได้ 

ใช้ขวดใส่น้ำปักกระถาง เป็นเครื่องให้น้ำต้นไม้อัตโนมัติ 

นำขวดพลาสติกเจาะรูที่ฝา หรือนำฝาขวดออกแล้วติดกรวยน้ำแบบหยด จากนั้นคว่ำปากขวดลงในกระถางไม่ให้ใกล้รากเกินไป ปักลงให้แน่นเพื่อป้องกันขวดน้ำหลุดและหล่นออกนอกกระถาง สังเกตให้น้ำค่อย ๆ ไหลออกจากขวดช้า ๆ อย่าให้น้ำไหลออกเร็วเกินไป วิธีนี้เหมาะสำหรับการให้น้ำกับไม้กระถาง ทั้งที่ปลูกในอาคารและนอกอาคาร ส่วนการดูดซึมน้ำจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและปริมาณแดดที่ส่องถึง

ใช้เชือกคายน้ำ / ผ้าคายน้ำ

ใช้เชือกคายน้ำ ผ้าคายน้ำ

การใช้เชือกคายน้ำทำได้โดย วางขวดน้ำให้อยู่สูงกว่าระดับกระถางเล็กน้อย แล้วนำปลายเชือก หรือปลายผ้าด้านหนึ่งใส่ไว้ในขวดน้ำ ส่วนอีกด้านให้ฝังลงในกระถาง เมื่อดินเริ่มแห้ง น้ำในขวดจะค่อย ๆ ซึมผ่านเชือกหรือผ้าลงสู่ดิน และอย่าลืมคำนวณปริมาณให้พอเพียงต่อจำนวนวันที่ไม่อยู่บ้าน

ทริคในการช่วยให้น้ำในขวดไม่หมดเร็วก่อนวันที่จะกลับบ้านคือ รดน้ำในกระถางต้นไม้ให้ชุ่ม ก่อนวันออกเดินทาง จะช่วยประหยัดน้ำในขวด และรักษาระยะเวลาในการให้น้ำต้นไม้ได้ โดยไม่ขาดน้ำจนกว่าวันที่เรากลับมาบ้านค่ะ เพียงเท่านี้เราก็ไปธุระ หรือไปเที่ยวได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องห่วงต้นไม้แสนรักยืนต้นตาย หรือเหี่ยวแห้งจากลาเราไปแล้วค่ะ

ลมหนาวมาเยือน อาจทำให้ใครหลายคนดีใจที่ไม่ต้องรู้สึกร้อน แต่อากาศหนาว ๆ แบบนี้อาจส่งผลให้บางคนป่วยได้ง่าย รวมไปถึงฝุ่นละอองที่อาจหนาแน่นกว่าปกติ จนต้องหายาหรือสมุนไพรบำรุงปอด แต่อีกสิ่งที่มักจะมาด้วยเสมอเมื่ออากาศเย็น คือ ปัญหาผิวหน้าหนาว หรือเมื่อต้องอยู่ที่มีอากาศแห้งสูง อย่างในห้องแอร์ ทำให้น้ำหล่อเลี้ยงผิวถูกดึงออกไป โดยเฉพาะหน้าหนาว ผิวแห้ง คัน แตกเป็นขุย ผิวอักเสบ และปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้ง่าย เรามีวิธีทำให้หน้าชุ่มชื้น ไม่แห้ง และการดูแลผิวหน้าช่วงหน้าหนาวสำหรับผู้ชายและผู้หญิงมาฝากในบทความนี้แล้ว ทำตามได้ไม่ยาก ไปดูกันเลยค่ะ 

อาบน้ำด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม 

ควรอาบน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ควรอาบน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นมากเกินไป เพราะน้ำอุ่นจะยิ่งดึงความชุ่มชื้นออกจากผิว ทำให้ผิวแห้งมากขึ้น และไม่ควรอาบน้ำนานเกิน 5-10 นาที เพราะการอาบน้ำนาน ๆ จะไปลดน้ำมันธรรมบนผิว ทำให้ผิวแห้ง กระด้าง และลอกเป็นขุยได้ อีกทั้งควรงดการสครับหรือขัดผิวช่วงอากาศหนาว หรืออาจสครับผิว 2 สัปดาห์ / ครั้ง หากต้องการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว แต่ไม่ควรทำบ่อยเพราะการขัดผิวจะดึงเอาความชุ่มชื้นออกไปจากผิวด้วยเช่นกัน 

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว 

แม้ว่าน้ำจะยิ่งทำให้ผิวเราแห้งมากขึ้น แถมอากาศหนาว ๆ ก็ทำให้ไม่อยากโดนน้ำเลย แต่เพราะจำเป็นต้องอาบน้ำ ก็ต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่จะไม่พรากน้ำหล่อเลี้ยงผิวไปมากกว่าเดิม และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วย เช่น หากเป็นสบู่ก้อน ให้เลือกใช้เป็น สบู่กลีเซอรีน สบู่น้ำมันธรรมชาติ เพราะน้ำมันธรรมชาติและกลีเซอรีนมีคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้นกับผิว ไม่ทำให้ผิวแห้งกร้าน หรือใช้ครีมอาบน้ำ เลี่ยงการใช้สบู่เคมีอัดก้อนทั่ว เพราะมีสารทำความสะอาที่จะไปชะล้างเอาน้ำมันธรรมชาติบนผิวออกไปด้วย   

ทาครีมบำรุงหลังอาบน้ำทันที

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ซับน้ำด้วยผ้าขนหนูเนื้อนุ่ม ๆ พอหมาด ๆ เท่านั้น แล้วรีบลงครีมบำรุงที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อให้เคลือบผิวและกักเก็บความชุ่มชื้นของผิวให้มากที่สุด โดยเลือกใช้เป็นครีมที่มีส่วนผสมจากน้ำมันธรรมชาติ เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอด น้ำมันละหุ่ง หรือ เชียร์บัตเตอร์ เป็นต้น เพราะน้ำมันสกัดจากธรรมชาติจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการทาบำรุงในช่วงเช้าและก่อนนอน 

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อครีมเท่านั้น 

โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อครีมเท่านั้น เนื่องจากเนื้อครีมจะมีมอยเจอร์ไรเซอร์มากกว่าเจลหรือเซรั่ม ที่จะช่วยเคลือบผิวทำให้น้ำหล่อเลี้ยงไม่ถูกดึงออกไปได้ง่าย ผิวจึงยังคงรักษาความชุ่มชื้นอยู่ได้ตลอดวัน และควรเลือกครีมที่ปราศจากน้ำหอม เพราะแอลกอฮอล์ในน้ำหอมอาจส่งผลให้ผิวเกิดอาการแพ้ และมีอาการอักเสบได้  

พกลิปบาล์มและแฮนด์ครีม 

ริมฝีปากและมือก็เป็นส่วนสำคัญที่ต้องดูแล เพราะเป็นส่วนอวัยวะที่ต้องเผชิญกับอากาศหนาว โดยเฉพาะส่วนบริเวณริมฝีปากที่ไม่มีสิ่งใดปกปิดตลอดเวลาเช่นร่างกาย ทำให้ริมฝีปากแตกแห้งได้ง่าย ทำให้ปากลอกเป็นขุย และอาจรุนแรงจนแสบและไม่สามารถกินอาหารได้ปกติ ดังนั้นจึงไม่ควรลืมใส่ใจดูแลริมฝีปากด้วยการหมั่นทาลิปบาล์มบ่อย ๆ ไม่ควรเลียริมฝีปาก เพราะจะยิ่งทำให้ริมฝีปากแห้งแตกมากขึ้น และการดูแลมือ ควรทาแฮนด์ครีมทันทีหลังล้างมือ เพื่อป้องกันริมฝีปากแตกและมือลอกเป็นขุย แนะนำให้พกลิปบาล์มและแฮนด์ครีมอยู่เสมอ 

เลือกทานอาหารและเครื่องดื่มที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว 

การเลือกทานอาหารบำรุงผิวก็เป็นอีกสิ่งสำคัญ และช่วยให้ผิวชุ่มชื้นได้ตลอดหน้าหนาว หรือเมื่อต้องอยู่ในห้องแอร์เป็นประจำ ควรเลือกอาหารและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ โดยเน้นทานผักและผลไม้ เช่น มะเขือเทศ แตงโม บลอกโคลี วอลนัท อโวคาโด้ รวมถึงอาหารที่มีไขมันดี เช่น เต้าหู้ น้ำมันมะกอก ปลาแซลมอน เป็นต้น เพราะเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันธรรมชาติชนิดดีต่อร่างกาย  

ไม่อยู่แต่ในห้องแอร์ 

หากจำเป็นต้องอยู่ในห้องแอร์นาน ๆ หรือต้องอยู่ในห้องแอร์เป็นประจำ เนื่องมาจากการทำงาน ให้หาโอกาสออกไปสัมผัสกับแสงแดดยามเช้า หรือแสงแดดยามสาย ๆ บ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวสัมผัสกับอากาศแห้งมากเกินไป และยังช่วยให้ได้รับวิตามินดีจากแสงแดดเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย แต่ถ้าหากเลี่ยงการอยู่ห้องแอร์นาน ๆ ไม่ได้ ควรพกครีมบำรุงที่อุดมไปด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารให้ความชุ่มชื้น เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก ทาผิวบ่อย ๆ  

เลือกสวมเสื้อผ้าที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง 

ช่วงหน้าหนาวหรือมีอากาศหนาว จะมีความแห้งและเย็นอยู่ในมวลอากาศ การเลือกเสื้อผ้าเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายเป็นสิ่งอันดับแรก ๆ ที่ทุกคนจะคำนึงเพื่อหามาใส่เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย แต่ควรใส่ใจในการเลือกเนื้อผ้าที่สวมใส่สบาย หรือไม่ทำให้ผิวระคายเคือง โดยอาจเลือกใช้เนื้อผ้าจากธรรมชาติ หรือเนื้อผ้าที่ให้ความสัมผัสนุ่ม ไม่บาดผิว เช่น ผ้าคอตตอน

ในปัจจุบัน มีความนิยมใช้สบู่เหลวมากขึ้น เพราะข้อดีของสบู่เหลวที่สามารถพกพาได้สะดวก ไม่เลอะเทอะ ล้างออกง่าย และยังมีการผสมสารต่าง ๆ เพื่อบำรุงผิว แต่รู้ไหมว่า สบู่ก้อน เป็นได้มากกว่าการใช้ฟอกทำความสะอาด หลายคนอาจคาดไม่ถึงว่า สบู่ก้อน สามารถนำไปใช้ได้หลากหลาย ดังนั้น เราจะมาพูดถึงประโยชน์ของสบู่อาบน้ำชนิดก้อนนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง 

ใช้ทำความสะอาด

แน่นอนข้อแรกก็ต้องพูดถึงคุณสมบัติของสบู่ ซึ่งการใช้ทำความสะอาด เป็นหน้าที่หลักสบู่ก้อนมาหลายยุคหลายสมัย ก่อนจะมีการพัฒนาและผลิตสบู่เหลวมาใช้จนได้รับความนิยมเป็นวงกว้างในปัจจุบัน เมื่อใช้สบู่ก้อนไปสักระยะหนึ่ง จะเหลือสบู่ก้อนเล็ก ๆ ที่อาจแข็งเกินไปจนอาจนำไปใช้ต่อได้ยาก ให้นำสบู่ก้อนเล็ก ๆ เหล่านั้นมาหลอมให้กลายเป็นสบู่ก้อนใหม่ เป็นสบู่ก้อนใหญ่กว่าเดิม ด้วยการเก็บรวบรวมสบู่ก้อนเล็ก ๆ จิ๋ว ๆ ทั้งหลายไปต้มจนเนื้อสบู่หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเติมน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นเพิ่มเข้าไป แล้วจึงนำไปเทใส่ภาชนะที่ต้องการ จากนั้นนำไปแช่ตู้เย็น และเมื่อสบู่เซ็ตตัวดีแล้วค่อยนำออกมาแกะใช้งาน 

บรรเทาอาการคันจากแมลงกัดต่อย

เมื่อมีอาการคันจากแมลงกัดหรือต่อย ให้นำสบู่ก้อนจุ่มน้ำ แล้วถูให้ทั่วบริเวณที่แมลงกัด หรือบริเวณที่คัน สบู่จะช่วยเคลือบบริเวณผิวหนังที่โดนแมลงกัดให้เป็นชั้นบาง ๆ ช่วยบรรเทาอาการคันได้ระดับหนึ่ง 

กำจัดกลิ่นรองเท้า 

กลิ่นเหม็นอับในรองเท้าที่เป็นปัญหาของใครหลายคน สามารถช่วยได้โดยการนำสบู่ก้อนเล็ก ๆ หรือเศษสบู่ใส่เข้าไปในรองเท้าที่มีกลิ่นอับ ปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืน เมื่อจะนำมาสวมใส่ จะพบว่ากลิ่นอับรองเท้าหายไป 

เสื้อผ้ากลิ่นหอมสดชื่น 

สบู่ก้อนมีคุณสมบัติในการช่วยดูดซับความชื้นจากตู้เสื้อผ้าและลิ้นชักต่าง ๆ ได้ดี นำสบู่ก้อนเล็ก ๆ เหลือใช้ห่อใส่ถุงผ้า หรือเศษผ้า แล้วนำไปใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้า หรือใส่ในลิ้นชัก จะช่วยให้เสื้อผ้ามีกลิ่นหอมสดชื่น และยังช่วยไล่แมลงต่าง ๆ ไม่ให้เข้าไปหลบซ่อน หรือใช้ตู้เสื้อผ้าเป็นที่อยู่อาศัย 

เปลี่ยนงานเย็บให้ง่ายขึ้น 

ผ้าบางประเภทอาจยากต่อการเย็บ แม้จะใช้เข็มเล่มใหม่ก็ตาม หากเข็มไม่สามารถใช้งานได้ปกติ อันมีสาเหตุจากเนื้อผ้า ให้นำเข็มเย็บผ้าไปปักลงบนก้อนสบู่ ความลื่นของสบู่ก้อนจะช่วยใ้หเข็มทำงานได้สะดวกและง่ายขึ้น 

ปลดซิป

บ่อยครั้งที่เรามักจะเจอปัญหาของ ซิปเสื้อผ้า ซิปฝืด ซิปรูดไม่ขึ้น นำสบู่ก้อนมารูดซิปที่ฝืด ความลื่นของสบู่ก้อนจะช่วยให้ซิปกลับมาทำงานง่ายขึ้น 

 

ช่วยเก็บเศษแก้ว 

เมื่อทำวัสดุที่เป็นแก้วแตก เศษแก้วชิ้นใหญ่ ๆ มักจะไม่มีปัญหาในการเก็บ แต่สำหรับเศษแก้วเล็ก ๆ หากเก็บไม่ระวัง อาจได้แผล เลือดออกกันบ้างแน่ ๆ  ดังนั้น เมื่อต้องการจะเก็บเศษแก้วแตกชิ้นเล็ก ๆ ให้นำก้อนสบู่ไปจุ่มน้ำให้เปียก จากนั้นกดลงไปตามพื้นที่มีเศษแก้วแตก จะช่วยให้เก็บเศษแก้วเหล่านั้นได้อย่างปลอดภัยขึ้น 

แก้ปัญหาลิ้นชัก บานประตูฝืด 

 

เมื่อลิ้นชักฝืดจนดึงไม่ออก หรือบานประตูเลื่อนปิด – เปิด ลำบาก ให้นำสบู่ก้อนถูกตามขอบลิ้นชัก หรือตามขอบประตูในบริเวณที่มีความฝืดหรือติดขัด 

ซ่อนข้อบกพร่อง 

เวลาที่ต้องทำการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ หรือเปลี่ยนที่ตั้งของภายในบ้าน ทำให้เราพบเจอกับรอย ตำหนิ  หรือหลุม บนพื้น หรือตามผนังบ้าน หากเป็นรอยหรือหลุมเล็ก ๆ เราสามารถปกปิดด้วยการถูสบู่ก้อนเติมรอยหรือหลุมนั้นให้เต็ม 

ช่วยทำความสะอาดเครื่องครัว 

นำสบู่ก้อนไปถูเคลือบด้านล่างของกระทะก่อนจะนำไปใช้งานปกติ จะช่วยให้สามารถทำความสะอาดกระทะได้ง่ายขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นจากการปรุงอาหาร 

ป้องกันฝ้าบนกระจก 

หลังอาบน้ำมักจะเกิดฝ้าบนกระจกในห้องน้ำ หรือประตูกระจก สามารถใช้สบู่ก้อนมาช่วยแก้ปัญหาฝ้าไอน้ำเหล่านี้ได้ ด้วยการรอหรือใช้ผ้าเช็ดกระจกให้แห้ง แล้วจึงนำสบู่ถูลงบนกระจก และใช้ผ้าเช็ดให้แห้งอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังสามารถใช้วิธีนี้กับการเช็ดฝ้าบนแว่นตาได้ด้วย 

ปกป้องต้นไม้ 

ปกป้องต้นไม้จากแมลงที่ชอบมารบกวนให้น่ารำคาญใจ ด้วยการนำเศษสบู่ใส่ใว้ในกระถาง โดยการวางบนดิน เพียงเท่านี้แมลงก็จะไม่มารบกวนอีกต้นไม้แสนรักอีกนาน ตราบใดที่เศษสบู่ยังคงสภาพไว้ ไม่โดนแดดหรือน้ำละลายสบู่หมดไปเสียก่อน 

 

หลังจากที่โรคโควิด-19 ได้ถูกลดสถานะลงเป็นเพียงโรคประจำถิ่น แต่กลับมีแนวโน้มการระบาดเพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และดูเหมือนว่าสถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วโลก กำลังกลับมาระบาดระลอกใหม่อีกแล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามคาดการณ์ว่าจะมีการระบาดเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว อีกทั้งการผ่อนคลายมาตรการ และมีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมกันมากขึ้น จึงเป็นการเอื้ออำนวยให้โรคโควิดกลับมาระรื่นได้อีกครั้ง จากข้อมูลผู้เสียชีวิตที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเดิมอยู่แล้ว โดยมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการติดเชื้อ คือ การไม่ได้รับวัคซีน หรือ ได้รับวัคซีนไม่ครบ และ ได้รับวัคซีนเข็มสุดท้ายนานเกิน 3 เดือน 

สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว ก็ยังคงต้องได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพราะวัคซีนช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ วันนี้เราจึงได้รวบรวมจุดฉีดวัคซีนโควิด-19 เดือนธันวาคม 2565 ฟรีทุกเข็ม ทั้งแบบลงทะเบียน และ บริการแบบ Walk in 

 

ใครที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเลยสักเข็ม หรือฉีดกระตุ้นเข็มสุดท้ายนานเกิน 3 เดือนแล้ว สามารถไปรับวัคซีนเสริมภูมิคุ้มกัน ลดอาการป่วยรุนแรง อาการลองโควิด (Long Covid) และลดความเสี่ยงการเสียชีวิต โดยสามารถฉีดวัคซีนโควิดฟรีที่ไหนในกทม. เราได้มัดรวมมาไว้ที่นี่แล้ว ใกล้หรือสะดวกที่ไหน รีบไปให้ทันก่อนไปฉลองกิจกรรมเทศกาลปีใหม่ (แต่ถึงจะรับวัคซีนแล้วก็ยังต้องรักษามาตรการดูแลตัวเองอยู่นะคะ จะได้เที่ยวอย่างสบายใจ ห่างไกลโควิดค่ะ) 

ศูนย์ฉีดวัคซีนกระทรวงสาธารณสุข 

เปิดให้บริการทุกวันอังคาร (9.00-14.00 น.) / เดือนธันวาคม 2565 

 

ชนิดวัคซีน : ไฟเซอร์    / ไม่มีโมเดอร์นา 

อายุผู้รับวัคซีน :  อายุ 12 ปีขึ้นไป 

 

กรุงเทพมหานคร 

ในส่วนของจังหวัดกรุงเทพมหานคร ให้บริการวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น ฟรี! ที่โรงพยาบาลสังกัดกทม. ให้กับทุกสัญชาติ สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม :  Hotline 1646 สายด่วนสุขภาพ สำนักการแพทย์ (ให้บริการตลอด 24 ชม.)

รายชื่อโรงพยาบาลและสถานที่ให้บริการวัคซีนโควิด-19 เดือนธันวาคม 2565 ฟรี 

  1. โรงพยาบาลกลาง บริการ วันจันทร์ – ศุกร์ (08.00-15.00 น.) ชั้น 3 ห้องตรวจส่งเสริมสุขภาพ 
  2. โรงพยาบาลตากสิน บริการ วันจันทร์ – ศุกร์ (08.00-14.00 น.) ศูนย์การค้าแพลตฟอร์ม วงเวียนใหญ่ 
  3. โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ บริการ วันจันทร์ – พฤหัสบดี (08.00-14.00 น.) คลินิกวัคซีนโควิด ห้องหัตถการ ชั้น 2 อาคาร 72 พรรษา มหาราชินี  และ วันศุกร์ วันจันทร์ – ศุกร์ (08.00-14.00 น.) คลินิกวัคซีนโควิด เรือนวัคซีน (อาคารจอดรถ) อาคารเวชศาสตร์ฟื้นฟู ชั้น 1 
  4. โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ บริการ วันจันทร์ (13.00-16.00น.) ชั้น 2 อาคารอเนกประสงค์ และ วันอังคาร (08.00-12.00 น.) ชั้น 1 อาคารอเนกประสงค์ 
  5. โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมี บริการวันจันทร์ ( ๅ3.00-16.00 น.) ชั้น 2 ห้องประกันสังคม 
  6. โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ บริการ วันจันทร์ – ศุกร์ (08.00-15.00 น.) คลินิกวัคซีนผู้ใหญ่ อาคายุบวร 
  7. โรงพยาบาลลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร บริการ วันจันทร์ – ศุกร์ (08.00-14.00 น.) ห้องฉีดยา 
  8. โรงพยาบาลสิรินธร บริการ วันศุกร์ 13.00-15.00 น. ชั้น 2 ห้องประชุมคุณหญิงหรั่ง กันการัติ 
  9. โรงพยาบาลคลองสามวา บริการ วันพุธ- ศุกร์ (13.00-14.00 น.) อาคารผู้ป่วยนอก 
  10. โรงพยาบาลบางนากรุงเทพมหานคร บริการ วันจันทร์ – ศุกร์ (08.00-11.00 น.)อาคารผู้ป่วยนอกชั้น1
  11. โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน บริการ วันจันทร์ – ศุกร์ (08.00-15.00 น.) คลินิกวัคซีนโควิด ห้องตรวจ 1 แผนกผู้ป่วยอายุรกรรม อาคาร OPD ชั้น 2 
  12. สถาบันโรคผิวหนัง บริการ วันจันทร์ – ศุกร์ (09.00-15.00 น.) และ วันเสาร์ 17 ธันวาคม 2565 (09.00-15.00 น.) ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ จนกว่าจะมีการประกาศเปลี่ยนแปลง รับบริการวัคซีน ณ ชั้น 20 อาคารสถาบันโรคผิวหนัง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถ.ราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม. 

 

Young Asia lady nurse giving Covid-19 or flu antivirus vaccine shot to senior male patient wear face mask protection from virus disease at health clinic or hospital office. Vaccination concept.

ทำการจองคิวล่วงหน้าได้ที่ https://covid19.iod.go.th/vaccine  (ก่อนวันฉีด 1 วัน) 

ดาวน์โหลด ระบบ Android >> https://bit.ly/3wJYsiB 

ดาวน์โหลด ระบบ IOS >>  https://apple.co/31o9FmO 

 

และสามารถทำการตรวจสอบผลการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “Vaccine บางซื่อ” 

สำหรับใครที่ไม่สะดวกจองคิวล่วงหน้า สามารถเข้ารับบริการแบบ Walk in ได้ตามวันเวลาทำการที่แจ้งไว้ 

“มะเร็งปอด” เป็นโรคอันตรายอันดับต้น ๆ ในกลุ่มมะเร็ง และผู้ป่วยมีอัตรเสียชีวิตมากกว่ารักษาได้หายขาด เนื่องจากมะเร็งปอดระยะแรก ๆ มันจะไม่แสดงอาการใด ๆ ให้ผู้ป่วยได้รู้ตัวหรือรู้สึกเอะใจสักนิดเลย แต่มันจะแสดงอาการออกมาเมื่อเซลล์มะเร็งได้ลุกลามเข้าสู่ระยะที่ 3-4 ไปแล้ว และมันเป็นสัญญาณเตือนเดดไลน์ ที่มักทำให้ผู้ป่วยไแทบไม่เหลือโอกาสรักษาได้ทัน 

จากการวิเคราะห์สาเหตุหลาย ๆ ปัจจัยจากวิชาชีพทางการแพทย์ มีความเห็นว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่อาจเชื่อมโยงเป็นต้นตอของการป่วยโรคมะเร็งปอดนั้น คือ ละอองฝุ่นพิษ PM 2.5 เนื่องจากสภาพแวดล้อมในเมืองไทยปัจจุบันเต็มไปด้วยมลพิษ ฝุ่นละออง และควันเขม่า สะสมอยู่ในอากาศทุกแห่ง โดยเฉพาะพื้นที่มีจราจรหนาแน่น เช่น กรุงเทพมหานคร หรือแม้แต่ทางภาคเหนือ อย่าง เชียงใหม่ เชียงราย ซึ่งมีค่าฝุ่น PM 2.5 ติดอันดับต้น ๆ ของโลก 

ยิ่งไปกว่านั้น มะเร็งปอด คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้น ๆ ในการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคต่าง ๆ เนื่องจากสภาพแวดล้อมเป็นพิษที่มีมานาน ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพโรคระบบทางเดินหายใจในระยะยาว ดังนั้นเราจึงต้องดูแลสุขภาพ ดูแลระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อรับมือและป้องกันตนเองจากภาวะเจ็บป่วยอันเกิดจาก PM 2.5 จากการศึกษาข้อมูลพบว่า สมุนไพรไทยใกล้ตัว ที่เราใช้เป็นอาหารและยามาตั้งแต่บรรพบุรุษ สามารถนำมาช่วยดูแลสุขภาพเพื่อรับมือกับปัญหาฝุ่นพิษได้ สมุนไพรช่วยบำรุงปอด ในสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ระบาด ทั้ง 5 ชนิด มีดังนี้ 

  1. รางจืด

รางจืด

สมุนไพรที่โดดเด่นด้านล้างพิษได้หลายชนิด หมอสมุนไพรนิยมใช้แก้พิษสัตว์บางชนิด หรือแม้แต่พิษสารเคมีในยาเบื่อหนู และปัจจุบันก็ได้มีงานวิจัยยืนยันแล้วว่า รางจืด ช่วยปกป้องอวัยวะจากสารพิษชนิดโลหะหนักได้ รวมไปถึงสารพิษที่พบได้ใน PM 2.5 โดยมีวิธีทานรางจืดล้างพิษ คือ ทานครั้งละ 2 แคปซูล 3 เวลา ก่อนอาหาร / วัน หรือ ชงผงรางจืดชนิดซอง 1-2 ซอง ในน้ำร้อน 120-200 มิลลิลิตร ดื่มวันละ 3 เวลาก่อนอาหาร เนื่องจากรางจืดเป็นยาฤทธิ์เย็น จึงควรเว้นระยะในการทานให้ห่างจากยารักษาโรคประจำตัว และไม่ควรทานติดต่อกันเกิน 1 เดือน โดยเฉพาะคนที่เป็นความดันต่ำ มือเย็น เท้าเย็น ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน 

  1. หญ้าดอกขาว หรือ หญ้าหมอน้อย 

หญ้าดอกขาว หรือ หญ้าหมอน้อย photo from samunpri.com

จากองค์ความรู้ของหมอพื้นบ้าน รวมกับผลการวิจัยในปัจจุบัน ที่รองรับว่า หญ้าดอกขาวเป็นสมุนไพรที่ถูกบรรจุให้อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ.2554 จึงมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยสูงต่อการใช้หญ้าดอกขาวในทางยา และยังมีการแนะนำให้เลือกใช้หญ้าดอกขาวในกรณีที่มีความเสี่ยงหรือไม่สามารถหลีกเลี่ยงฝุ่น PM 2.5 ได้ โดยในงานวิจัยได้พบว่า สารสกัดดอกหญ้าขาว มีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูที่ได้รับนิโคตินเป็นระยะเวลานานกว่า 6 เดือน และยังช่วยฟื้นฟูพยาธิสภาพของปอดให้กลับมาเป็นปกติได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ช่วยลดคาร์บอนมอนนอกไซด์ที่สะสมในปอด แถมยังลดการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งปอดได้อีกด้วย จึงนับว่าหญ้าดอกขาวเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากในสถานการณ์ที่ต้องอยู่ท่ามกลางมลภาวะ PM 2.5 เช่นนี้ ซึ่งหญ้าดอกขาวเป็นสมุนไพรที่หาง่ายและมีความปลอดภัย 

  1. ขมิ้นชัน  

ขมิ้นชัน

สมุนไพรเด่นดีด้านการลดอักเสบ และเราก็ใช้ปรุงอาหารไทยหลายเมนู จึงเป็นสมุนไพรที่คุ้นเคยกันดีสำหรับคนไทย ขมิ้นชันมีผลวิจัยยืนยันมานานแล้วในเรื่องช่วยลดการอักเสบต่าง ๆ ปกป้องระบบหัวใจ หลอดเลือด และ ปอด โดยขมิ้นชันนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินอี 80 เท่า ช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง ผู้ที่นิยมกินอาหารที่มีส่วนผสมของขมิ้นชัน ช่วยบำรุงปอดได้ดีในคนทั่วไป  รวมถึงปกป้องไม่ให้ระบบการทำงานของปอดลดลงในผู้สูบบุหรี่ เรียกได้ว่า ขมิ้นชัน สมุนไพรบำรุงปอดอย่างดี และปอดก็เป็นเป้าหมายของฝุ่น PM 2.5 ดังนั้น การทานอาหารที่มีขมิ้นชัน จึงเป็นการดูแลปอดที่ง่ายและควรทำอย่างยิ่งในยุคนี้ 

  1. มะขามป้อม 

มะขามป้อม

มะขามป้อม สมุนไพรทางยาช่วยละลายเสมหะและบำรุงเสียง ในด้านอายุรเวทใช้มะขามป้อมเป็นยาแก้ไอ แก้หอบ รักษาระบบหลอดลมไม่ให้อักเสบหรือถูกทำลาย แต่จากงานวิจัยค้นพบว่า มะขามป้อม มีฤทธิ์ช่วยลดภาวะความเป็นพิษจากก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เป็นแหล่งกำเนิดฝุ่น PM 2.5 หากกินมะขามป้อมเป็นประจำ จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ปกป้องระบบทางเดินหายใจช่วงบน ลดการเกิดอนุมูลอิสระ ด้วยมะขามป้อมนั้นประกอบไปด้วยวิตามินซีสูง แทนนิน โพลีฟีนอล และอันคาลอยด์ โดยเฉพาะมะขามป้อมพันธุ์ไทย ที่ประกอบไปด้วยสารโพลีฟีนอลสุงมาก ช่วยต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี โดยอาจทานมะขามป้อมโดยตรง หรือดื่มน้ำมะขามป้อมสกัดวันละ 250 – 500 มิลลิกรัม / วัน ก็ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี 

  1. ฟ้าทะลายโจร 

ฟ้าทะลายโจร 

สมุนไพรไพรลดไข้ แก้หวัด และได้รับความนิยมในการใช้เป็นยารักษาในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทีผ่านมา เพราะฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ช่วยแก้ไข้ แก้ไอ โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงยังช่วยในเรื่องไซนัสอักเสบชนิดไม่รุนแรง คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ทอนซิลอักเสบ และยังใช้กินเพื่อเสริมภูฒิคุ้มกันได้อีกด้วย โดยวิธีการทานฟ้าทะลายโจรจะต้องอยู่ในความระมัดระวัง โดยทานวันละ 1 แคปซูล ใน 5 วัน / สัปดาห์ ไม่ควรกินฟ้าทะลายโจรติดต่อกันเกิน 3 เดือน หากกินฟ้าทะลายโจรติดต่อกัน 3 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรหยุดทานและปรึกษาแพทย์ 

บุคคลที่ไม่ควรกินฟ้าทะลายโจร : สตรีมีครรภ์ และ สตรีที่กำลังให้นมบุตร

สายมูไม่ควรพลาดกับปรากฏการณ์ จันทรุปราคาเต็มดวง เหนือฟ้าเมืองไทย ลอยกระทงแล้วยังได้ชมความสวยงามจันทรุปราคาที่ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ตรงกับวันลอยกระทงพอดิบพอดี โดยที่คนไทยทั้งประเทศจะได้ชมดวงจันร์เต็มดวงสีแดงอิฐด้วยตาเปล่า และถ้าได้แต่งชุดไทยไปร่วมลอยกระทง และถ่ายรูปท่ามกลางจันทร์สีแดงอิฐ รูปจะออกมาสวยเก๋แค่ไหน โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ บอกเลย โดยโดยจันทรุปราคาวันนี้จะเริ่มให้เราได้เห็นตั้งแต่เวลาที่เกิดคราสเต็มดวง ซึ่งตรงกับเวลาในประเทศไทยช่วงประมาณ 17.44 – 18.41 น. จากนั้นดวงจันทร์จะเคลื่อนออกจากเงามืดเข้าสู่เงามัวของโลก และเมื่อสิ้นสุดคืนนี้แล้ว ก็จะสามารถชมได้อีกครั้งอีก 3 ปีข้างหน้า ช่วงวันที่ 8 กันยายน 2568 เพราะฉะนั้นเราจะมากล่าวถึงเรื่อง จันทรุปราคา กันในบทความนี้กันหน่อย 

จันทรุปราคาเกิดตอนไหน 

จันทรุปราคาเกิดตอนไหน

การเกิดจันทรุปราคา เกิดจากที่ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และ โลก โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน โดยมีโลกอยู่ตรงกลาง ระหว่างดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ และเป็นจังหวะเดียวกับที่ดวงจันทร์โคจรผ่านเข้าไปในเงาของโลก ทำให้เราเห็นดวงจันทร์ค่อย ๆ แหว่งมากขึ้น จนกระทั่งหมดดวงและโผล่กลับขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเหตุผลที่ทำให้คนโบราณเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ราหูอมจันทร์  ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะในคืนวันเพ็ญ 15 ค่ำ หรือคืนวันพระจันทร์เต็มดวง และจะมีเพียงประมาณปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น หรืออาจห่างกัน 2-3 ปี จึงจะสามารถเห็นได้อีก

ขณะที่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์จะไม่ได้หายหรือมืดทั้งดวง แต่เราจะเห็นเป็นสีแดงอิฐแทน เนื่องมาจากการหักเหของแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านชั้นบรรยากาศโลก และสีของดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาอาจมีความแตกต่างกันไป โดยจะไม่เหมือนเดิมทุกครั้ง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 5 ระดับด้วยกัน 

  • ระดับ 0 คือ ดวงจันทร์มืดจนแทยมองไม่เห็นเลย 
  • ระดับ 1 คือ ดวงจันทร์มืดแต่ยังคงเห็นเป็นสีเทาหรือสีน้ำตาล แต่ไม่สามารถมองเห็นลักษณะของดวงจันทร์ได้อย่างละเอียด 
  • ระดับ 2 คือ ด้านในดวงจันทร์บริเวณเงามืดจะมีสีแดงเข้ม แต่จะมีสีเหลืองสว่างด้านนอกของเงามืด 
  • ระดับ 3 คือ ดวงจันทร์จะมีสีแดงอิฐและมีสีเหลืองสว่างบริเวณขอบเงามืด 
  • ระดับ 4 คือ ด้านของของเงาดวงจันทร์จะสว่างมากมองเห็นเป็นสีทองแดงหรือสีส้ม 

จันทรุปราคากับความเชื่อ 

จันทรุปราคากับความเชื่อ

คนโบราณมักจะมีความเชื่อว่า ในช่วงที่เกิดจันทรุปราคา เป็นช่วงเวลาแห่งอาเพศ จะมีสิ่งชั่วร้ายเกิดขึ้น และมีความอาถรรพณ์ ห้ามอยู่ในที่แจ้งขณะที่ ราหูอมจันทร์ และผู้ที่มีวิชาอาคมจะหลีกเลี่ยงการโดนแสงจันทร์ในช่วงเวลานั้น เพราะเชื่อว่าจะมีผลต่อวิชาอาคมที่มี ทำให้ของเสื่อม ของหายขลัง มนต์อาคมเสื่อม หรือวิชาอาคมที่มีจะย้อนทำร้ายตนเอง เป็นต้น  

นอกจากนี้ยังมีความเชื้อในด้านการเสี่ยงโชค สายมูเตลู นักเสี่ยงโชคต่าง ๆ จะต่างออกไปตรงที่ สายมูทั้งหลายเชื่อว่าราหูคือเทพ ดังนั้นจะหาวิธีขอโชคลาภจากพระราหูหลากหลายกันไป แต่ที่เห็นกันได้บ่อยในปัจจุบัน คือ การเรียกทรัพย์เข้ากระเป๋าสตางค์ โดยเริ่มจากการจุดธูปดำ 8 ดอก จากนั้นหยิบกระเป๋าสตางค์ที่ใช้ประจำขึ้นมา พร้อมกับพูดว่า “ข้าพเจ้า (ชื่อ – นามสกุล และ วัน-เดือน-ปี เกิด) ขอสักการะแด่องค์เทพราหู ผู้ได้ดื่มน้ำอมฤต ขอนอบน้อมสักการะต่อองค์ท่าน ขอให้ข้าพเจ้ามีทรัพย์ มีสิน มีกิน มีโชค” แล้วลูบกระเป๋าสตางค์เข้าหาตัว โดยไม่ต้องท่องคาถาใด ๆ เพียงเท่านี้ก็เป็นเสร็จสรรพสำหรับการขอโชคลาภจากพระราหูของชาวมูเตลู 

บอกเลยว่า หากพลาดการชมจันทรุปราคาครั้งนี้ จะได้ชมอีกทีรอไปอีก 3 ปีข้างหน้าเลยทีเดียว 

จันทรุปราคา

แม้ว่าจะใกล้สิ้นปี 2565 แล้ว แต่ยังเหลืออีกหลายวันให้ใส่เสื้อสีมงคล โดยเราได้นำตารางสีเสื้อมงคลมาจากหมอช้าง ทศพร ศรีตุลา เพื่อเสริมดวงเพิ่มอำนาจ รวยทรัพย์ รับโชค ให้เฮง ๆ ปัง ๆ ทิ้งท้ายปีกันถ้วนหน้า วันนี้วันอะไร ใส่เสื้อสีไหนดีไปเช็คกันเล๊ยย 

วันจันทร์ 

  • งานเด่น : สีเขียว (ทุกโทน) 
  • เงินไหลมา : สีส้ม สีน้ำตาลอ่อน 
  • สิริมงคล : สีดำ 
  • อำนาจ บารมี : สีเขียว 
  • อุปถัมภ์ มีคนช่วยเหลือ : สีฟ้า สีน้ำเงิน 
  • กาลกิณี : สีส้ม 

วันอังคาร 

  • งานเด่น : สีม่วง สีเทาดำ สีดำ 
  • เงินไหลมา : สีเทา สีบรอนซ์เงิน สีบรอนซ์ทอง
  • สิริมงคล : สีเทา สีเหลือง 
  • อำนาจ บารมี : สีดำ
  • อุปถัมภ์ มีคนช่วยเหลือ : สีส้ม
  • กาลกิณี : สีขาว สีครีม 

วันพุธ 

  • งานเด่น : สีส้ม สีน้ำตาลอ่อน
  • เงินไหลมา : สีคราม สีฟ้า สีน้ำเงิน
  • สิริมงคล : สีม่วง สีดำ 
  • อำนาจ บารมี : สีเทา สีเหลือง 
  • อุปถัมภ์ มีคนช่วยเหลือ : สีขาว สีครีม
  • กาลกิณี : สีชมพู สีแดง 

วันพฤหัสบดี 

  • งานเด่น : สีคราม สีฟ้า สีน้ำเงิน 
  • เงินไหลมา : สีเหลือง สีครีม
  • สิริมงคล : สีส้ม
  • อำนาจ บารมี : สีฟ้า สีน้ำเงิน 
  • อุปถัมภ์ มีคนช่วยเหลือ : สีเขียว
  • กาลกิณี : สีดำ 

วันศุกร์ 

  • งานเด่น : สีขาว สีครีม สีเหลือง  
  • เงินไหลมา : สีเขียว (ทุกโทน)
  • สิริมงคล : สีชมพู สีแดง 
  • อำนาจ บารมี : สีขาว สีครีม 
  • อุปถัมภ์ มีคนช่วยเหลือ : สีเทา สีเหลือง 
  • กาลกิณี : สีม่วง สีดำ 

วันเสาร์ 

  • งานเด่น : สีเทา สีบรอนซ์เงิน สีบรอนซ์ทอง 
  • เงินไหลมา : สีแดง 
  • สิริมงคล : สีแดง 
  • อำนาจ บารมี : สีม่วง สีดำ 
  • อุปถัมภ์ มีคนช่วยเหลือ : สีชมพู สีแดง 
  • กาลกิณี : สีเขียว 

วันอาทิตย์ 

  • งานเด่น : สีชมพู 
  • เงินไหลมา : สีม่วง สีเทาดำ สีดำ 
  • สิริมงคล : สีเขียว
  • อำนาจ บารมี : สีชมพู สีแดง  
  • อุปถัมภ์ มีคนช่วยเหลือ : สีม่วง สีดำ 
  • กาลกิณี : สีฟ้า สีน้ำเงิน